วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559

ขี่มอเตอร์ไซค์ ไปเรื่อยๆ จาก กทม - น่าน by MSX125

ขี่มอเตอร์ไซค์ เที่ยวไปเรื่อยๆ จาก กทม - น่าน by MSX125



              ช่วงหยุดปีใหม่ 2559 ที่ผ่านมาได้มีโอกาสขี่มอเตอร์ไซค์ไปเที่ยวคนเดียวในหลายๆจังหวัดด้วยกัน เริ่มตั้งแต่ กทม อุทัยธานี สุโขทัย น่าน พิจิตร และกลับมา กทม โดยใช้ระยะเวลาทั้งหมดประมาณ 7 วัน ระยะทางกว่า 1,500 กิโลเมตร เป็นการทดสอบทางด้านร่างกายและจิตใจ ได้เพิ่มประสบการณ์และพบได้เห็นสิ่งใหม่ๆ อีกทั้งได้เห็นศิลปะวัฒนะธรรมของแต่ละพื้นที่ ได้สัมผัสธรรมชาติของข้างทางระหว่างการเดินทาง ลมที่ปะทะร่างกาย ความเย็นความร้อนของอากาศ กลิ่นต่างๆในแต่ละพื้นที่ ซึ่งอาจจะหาไม่ได้จากการเดินทางในรูปแบบอื่นๆ # สำหรับในการเขียนบล็อคนั้น เป็นเพียงการบันทึกเรื่องราวต่างๆไว้เพื่อไม่ให้มันเลือนหายไปจากความทรงจำ เพราะบางทีเราอาจจะลืมรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขกับการเดินทางก็เป็นได้


            การเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพราะว่าตอนแรกที่ตั้งใจไว้ว่าจะขับลงใต้ โดยหาข้อมูลต่างๆไว้คร่าวๆ และตั้งใจว่าจะไปทั้งหมด 9 วัน ที่คิดไว้คือขี่ไปถึงจังหวัดตรัง แต่พอใกล้ๆวันที่จะไป ได้เช็คสภาพอากาศพบว่าทางใต้มีฝนตกชุก จึงทำให้เปลี่ยนความคิดว่าจะไม่ลงใต้ แต่ก็ไม่รู้จะไปไหนดี
ในใจก็คิดว่าจะไปอีสานดีไหม (แต่พี่ที่ทำงานบอกว่าไม่ค่อยมีไรเที่ยว)
จะขึ้นเชียงใหม่ (ปีที่แล้วก็เพิ่ง)
หรือจะลงใต้ ไม่ต้องสนใจดินฟ้าพยากรณ์ดีไหม (แต่ก็อุปกรณ์ไม่พร้อมที่จะไปลุยฝน)
หรือไม่ไปไหน กลับไปนอนอยู่บ้านแม่เฉยๆดี (แต่ปีนี้ยังไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย)
คิดวนไปวนมาอยู่หลายตลบ จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะออกเดินทางเช้าวันที่ 26 ธค 2558 ก็เลยต้องเลื่อนไปเพราะยังตัดสินใจไม่ได้สักที ก็เลยคิดว่าถ้าอย่างนั้นเราออกไปก่อนแล้วค่อยคิดดีกว่า โดยตั้งเป้าหมายว่า ไปสัมผัสอากาศเย็นและไปในที่ที่ยังไม่เคยไป จึงเป็นเหตุให้เกิดทริปนี้

             ดังนั้นในช่วงบ่ายของวันที่ วันที่ 26 ธค 2558 ก็เริ่มเก็บข้าวของเพื่อเดินทาง สำหรับอุปกรณ์ต่างๆก็พอมีอยู่ เนื่องจากเป็นครั้งที่สองที่ได้เดินทางระยะไกลจึงทำให้มีอุปกรณ์ของปีที่แล้วโดยที่ไม่ต้องเตรียมอะไรมาก


              เช้าของวันที่ 27 ธค 2558 ก็อาบน้ำ แต่ตัวและเช็คของต่างๆที่เตรียมไว้ จากนั้นก็เอามา Pack ไว้กับน้องอั่งเปา สภาพก็ตามที่เห็น จากนั้นก็ไปหาข้าวเช้าง่ายๆกินที่ร้านข้าวมันไก่หลักเมืองปราจีน(เป็นชื่อร้านนะครับไม่ได้ไปกินถึงปราจีน ^-^ )






                 กว่าจะเริ่มออกเดินทางก็ประมาณ 9.40 ค่อนข้างสายไปหน่อย เมื่อคืนเตรียมของดึกก็เลยตื่นสาย




                  มาแวะที่ ปตท ซ่อมสร้าง - ติวานนท์ ตั้งใจจะมาเติมลมยางแต่คนรอคิวเยอะมากเลยคิดว่าไปแวะปั้มข้างหน้าก็ได้ จึงแค่แวะซื้อน้ำดื่มและถ่ายรูปเป็นที่ระทึก
             

" ความกังวลใจมักจะมารบกวนเราตอนจะเริ่มต้นทำอะไรสักอย่าง แต่พอเราลงมือทำมันแล้วความกังวลก็จะค่อยๆลดลง "  By Dunk


                 จุดหมายแรกที่ตั้งใจไว้คือจังหวัดอุทัยธานี เพราะยังไม่เคยไปจังหวัดนี้ ระยะทางตามแผนที่ประมาณ 193 กิโลเมตร โดยวิ่งถนนเส้น 32

               
             ระหว่างจอดรถดูแผนที่ก็เลยถ่ายไว้สักหน่อย น่าจะแถวๆปทุม-รังสิต


         

                     วันนี้อากาศค่อนข้างร้อนพอดีเจอปั๊ม ปตท แถวอยุธยาก็เลยแวะกินชามะนาวสักหน่อย และได้พักเครื่องให้น้องอั่งเปาด้วย มีเวลาในการอัพ Facebook เพื่ออัพเดทจุดพักให้พ่อแม่ได้รู้ว่าอยู่จุดไหนแล้ว ถ้าตายไปเขาจะได้ตามถูก 555  #ช่วงพักผ่อนสบายๆ สมโง่ เลยถ่ายเซลฟี่ซักหน่อย (คนด้านหลังแอบมอง คิดว่าคงอยากกินชามะนาวของสมโง่ 55)


              นั่งไปสักพักพอดูเวลาใกล้จะเที่ยงแล้ว คิดว่าต้องไปหาอะไรกินจึงขับออกไปด้านหลังปั๊ม ปตท โชคดีมีร้านข้าวตามสั่งอยู่ด้านหลังติดกับปั๊มพอดี จึงแวะกินซะเลย โดยร้านจะเป็นห้องแถวและข้างๆจะมีร้านก๋วยเตี๋ยว  #ตอนแรกจะเข้าไปนั่ง แต่พอดีเห็นโต๊ะกินข้าวข้างๆร้านมากสีเจ็บดี ก็เลยมานั่งกินตรงนี้ดีกว่า 


                คิดเมนูอาหารไม่ออก ไม่รู้จะสั่งอะไรกินดี ก็เลยสั่งกุ้งทอดกระเทียม รสชาติอร่อยใช้ได้ครับ ราคา 35 บาท ในร้านมีน้ำในกระติกน้ำแข็งให้ดื่มฟรีด้วย ราคาน่าคบหา อิอิ


            หลังจากกินข้าวเสร็จก็ออกเดินทางทันที ตอนนี้เวลาเกือบจะบ่ายโมงแล้ว ระยะทางรวมวิ่งมาประมาณ 62 กิโลเมตรล่ะ



ถ้าสังเกตุของที่ขายข้างทางแถวอยุธยาก็จะหนีไม่พ้น นก หนู งูเห่า ส้มจีน โรตีสายไหม แต่ก็ยังมีว่าวขายข้างทางด้วย แวะชักภาพสักหน่อย



               นอกจากจะเจอของขายแล้วยังเจอกลุ่มพี่ๆ นักปั่นพลังบุญ ปั่นจักรยาน กทม - เชียงใหม่ ผมได้ร่วมทำบุญผ้าป่าหุ้มทองเจดีย์วัดป่าท่าสุด กับกลุ่มพี่ๆเขา สุดยอดจริงๆ ก่อนไปต่อเลยขอถ่ายรูปกับพี่เขาไว้หน่อย



                 ระหว่างทางก็มีแวะพักเป็นระยะๆ ดื่มน้ำพักเครื่องบ้าง ก็ขับ 1 ชม. นั่งพัก ครึ่ง ชม. ( 70%ของร่างกายประกอบไปด้วยน้ำ แต่100%ของหัวใจประกอบไปด้วยรัก #ใกล้บ่อน้ำเน่าพอดีเบยขอสักหน่อย อิอิ )




                 สิ่งแรกที่ต้องทำหลังจากมาถึงอุทัยธานีคือหาที่พัก ใช้จากการดูข้อมูลในเวปเอาครับ จากในเวปแนะนำโรงแรมพิบูลย์สุข เป็นโรงแรมที่ดูเก่าแต่ก็สะอาดมาก ส่วนตัวว่าดูมัน Classic เหมือนเราได้ย้อนยุคจริงๆ ค่าที่พักต่อคืน 450 ไทยบาท สำหรับอินเตอร์เนตเสียตังค์เพิ่มนะครับ 1 วัน 40 ไทยบาท แต่ขอบอกว่าความเร็วระดับทาก ผมก็เลยกลับมาใช้ 3G เหมือนเดิม ถือว่าซื้อค่าประสบการณ์ไป 




                 เข้ามาจากข้างหน้าก็จะเจอล๊อบบี้ ตอนถ่ายมือสั่นไปหน่อยภาพเบลอ ผมมาถึงก็เย็นแล้วด้วย ประมาณ 4-5 โมงเย็น แสงเลยน้อยทำให้ดูอึมครึม



                  ที่พักมี 2 ชั้น แต่ผมพักชั้นล่าง ภาพเบลออีกล่ะ 


                 ทางเดินชั้นล่างทางขวาของล๊อบบี้ ผมก็ไม่ได้พักฝั่งนี้อยู่ดี 555


                ทางเดินชั่นล่างทางซ้ายของล๊อบบี้ ผมพักฝั่งนี้ครับ ถ้าคนขวัญอ่อนอาจจะหลอนตัวเองได้ แต่ผมเฉยๆ แต่ถ้ามีอะไรผมก็โกยสีขาเหมือนกัน 555 แต่ไม่มีอะไรครับ นอนหลับสบายมาก


                 สภาพภายในห้องตกแต่งแบบโบราณ แต่ต้องบอกว่าเขาทำสะอาดมากครับ สามารถเอาลิ้นเลียพื้นได้เลย (ล้อเล่นนะครับ ถ้าใครเลียจริงก็มาบอกด้วยว่ารสชาติยังไง อิอิ) #ถ้าใครกลัวนอนแล้วอากาศร้อนนี่หายห่วงได้ครับแอร์จ่อระดับแนบชิดมากความเย็นองศารัสเชีย ผมนี่ใส่เสื้อกันหนาวและสวมฮู้ดนอน


        อีกมุมหนึ่ง เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ในห้องดูแบบโบราณ Classic เหมือนสมัย 2499 เป็นพี่แดง ไบเล่ (พี่แดงพูดไว้ในหนัง "เป็นเมียพี่ต้องอดทน" #ถ้าใครเคยดูจะเห็นว่าพี่ติ๊กแมร่งหล่อสุดตรีนเหยียด #แล้วมันไปเกี่ยวอะไรกับพี่ติ๊กเนี้ย)
               

                ด้านหลังโรงแรมจะเป็นที่จอดรถมี รปภ เฝ้าครับ แต่ผมว่าจัดหวัดเขาดูชิลๆ เดาว่าอาชญากรรมน่าจะน้อย (เดานะครับ555)



                เลยเข้าไปด้านหลังไม่รู้ว่าเป็นบ้านเจ้าของหรือป่าว แต่ดูดีมากน่าจะติดกลับแม่น้ำสะแกกรัง 




              ส่วนด้านข้างโรงแรมเหมือนจะเป็นโรงเรียนเด็กประถมหรือไม่ก็อนุบาลได้ยินเสียงเด็กๆเล่นกัน เป็นอาคารไม้ทั้งหลังตอนแรกว่ากลับจากกินข้าวจะลองแวะเข้าไปเดินดูแต่ก็ลืม


               หลังจากเก็บของที่ห้องพักเรียบร้อยประมาณน่าจะประมาณ 5โมงเย็น ก็ขับรถออกไปสำรวจในพื้นที่ใกล้เคียง จุดแรกที่จะไปคือวัดโบสถ์ หรือชื่อเต็ม วัดอุโบสถาราม  ถ้าจะเดินทางจากโรงแรม ให้หันหน้าออกจากโรงแรมและขับไปทางขวามือของโรงแรม จะผ่านแยกไฟแดงขับตรงไปจนถึงวงเวียน ให้วนไปทางขวามือ จะพบศาลหลักเมืองและตลาดสด


            แถวๆตลาดสดจะมีแม่ค้าขายของตามข้างทางเหมือนกับตลาดนัด มีทั้งของสดและของอาหารสำเร็จให้กินเยอะพอสมควร แต่ตอนนี้ยังไม่สนใจเรื่องของกิน ขอไปวัดโบสถ์ก่อนนะ



  
             ด้านหน้าตลาดสดจะติดกับแม่น้ำสะแกกรัง ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำก็คือวัดโบสถ์ จะมีสะพานให้เดินข้ามไปได้ ตรงสะพานจะมีป้ายชุมชน7


                  ส่วนใหญ่คนที่มาเที่ยวก็จะมาถ่ายรูปจากฝั่งตลาดไปยังวัดโบสถ์นี่แหละครับ ผมก็เลยถ่ายบ้างตามระเบียบ


หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้วก็จะลองเดินข้ามสะพานไปดูบริเวณวัดสักหน่อย อันที่จริงสามารถขับจักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ข้ามไปได้ ความกว้างของสะพานแค่มอเตอร์ไซค์ขับสวนกันได้ แต่ผมตัดสินใจเดินข้ามไปครับ เพราะอยากจะค่อยๆมองธรรมชาติมากกว่า



ถ้ามองจากสะพานลงไปก็จะเห็นบ้านเรือนแพ จากที่ได้ข้อมูลจากอาสาสมัครของหมู่บ้าน(บังเอิญพบอาสาสมัครบนสะพานพอดี) เขาบอกว่าเรือนแพทุกหลังมีบ้านเลขที่ และมีกฏว่าไม่ให้ปลุกสร้างเรือนแพเพิ่มจากที่มีอยู่เดิม ดังนั้นเรือนแพพวกนี้จึงเป็นลิมิตเตด เป็นของที่ควรจะเก็บไว้ให้คนที่มาชื่นชมและศึกษา



ตอนที่เดินข้ามสะพานมาถึงที่วัดก็เวลาเริ่มจะเย็นมากแล้ว ทำให้แสงไม่เพียงพอสำหรับการถ่ายภาพจึงคิดว่าพรุ่งนี้เช้าค่อยตื่นแต่เช้าแล้วมาอีกรอบดีกว่า เพราะตอนนี้โบสถ์ปิดไปเรียบร้อยแล้ว



จุดเด่น ของวัดโบสถ์ คือ มณฑปแปดเหลี่ยม รูปทรงแบบตะวันตกกับรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ซึ่งนับว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญของวัด จากประวัติเล่าว่า มณฑปนี้สร้างขึ้นราวปี พ.ศ.2442 โดย “หลวงพิทักษ์ภาษา” เพื่อถวายแก่ “พระครูอุไททิศธรรม” เจ้าอาวาสวัดโบสถ์ ในขณะนั้นเพื่อให้ท่านจำพรรษา แต่ทว่าพระครูอุไททิศธรรมได้มรณภาพลงเสียก่อน มณฑปแห่งนี้จึงถูกใช้เป็นที่ทำศพและเป็นที่ประดิษฐานอัฐิธาตุพร้อมข้าวของเครื่องใช้ของท่านแทน



ด้านหลังโบสถ์จะมีเจดีย์สามสมัย ข้อมูลที่ได้จากอาสาสมัครชาวบ้านบอกว่า เจดีย์ทั้งสามองค์นี้ถูกสร้างขึ้นพร้อมกันในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ซึ่งมีรูปแบบที่แตกต่างกัน เริ่มจากเจดีย์ทรงระฆังเป็นศิลปะแบบอยุธยา  เจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองซึ่งเป็นศิลปะแบบรัตนโกสินทร์ และเจดีย์ทรงระฆังเหลี่ยมศิลปะแบบผสมผสานระหว่างอยุธยาและรัตนโกสินทร์



หลังจากเดินได้พักเดียวก็จะใกล้หกโมงเย็น เลยคิดว่ากลับไปหาอะไรกินดีกว่า ระหว่างข้ามสะพานกลับก็เลยถ่ายรูปเขาสะแกกรังยามเย็นสักหน่อย



ข้อมูลเรื่องหาของกินตอนเย็น พอดีก่อนที่จะออกจากโรงแรมได้ถามเจ้าของโรงแรมว่าไปหาข้าวเย็นกินได้ที่ไหน พี่เขาบอกว่าที่คนนิยมไปกินกันคือข้าวต้มร้านเจ้ดาปลาลวก จึงต้องไปลองสักหน่อย ร้านอยู่ใกล้วงเวียนห้าแยกที่เราผ่านมาตอนที่ไปวัดโบสถ์ครับ คนเยอะมากโต๊ะไม่พอนั่ง เตือนว่าระวังอย่างไรยืนใต้สายไฟช่วงหลังหกโมงนะครับ ไม่ใช่ว่าจะโดนไฟดูดนะครับแต่จะโดนนกขี้ใส่ ผมจอดรถไว้ใต้สายไฟนกขี้ใส่รถผมเฉย



สั่งมาสามอย่างกินคนเดียว ตอนแรกไม่คิดว่ามันจะจานใหญ่ขนาดนี้ T-T ถ้าถามว่ากินหมดไหม หมดสิครับเสียดายของ



                     คิดเงินมาก็ประมาณ 250 ไทยบาท จริงๆที่สั่งมาน่าจะกินได้สัก 2-3 คน ถ้ามาหลายคนก็น่าจะเฉลี่ยต่อหัวไม่เกิน100 ไทยบาท  #ล่าง 4 หมายถึงโต๊ะสี่ริมถนน ไม่ใช่ไปแทงหวยใต้ดินนะครับ 555


ตรงข้ามกับร้านเจ้ดาปลาลวก จะมีร้านน้ำเต้าหู้ เซ็กเกี๋ยกั๋ง คนมาซื้อเยอะมาก นั่งเล็งตั้งแต่ตอนกินข้าวแล้ว พอกินข้าวเสร็จก็เลยมุ่งมาที่นี่เลย


นอกจากน้ำเต้าหู้ก็น่ามีน้ำอื่นๆด้วย แต่ไม่ได้สนใจเพราะตอนนี้อิ่มมากแต่แค่อยากลองน้ำเต้าหู้เท่านั้นจะได้ไม่เสียเที่ยว



ตอนกำลังคีบเลือกปาท่องโก๋ มีลูกค้าที่กำลังรอคิวซื้อน้ำเต้าหู้บอกว่า"แบบกลมๆก็อร่อยนะ" ก็เลยเชื่อตามที่เขาบอก จัดมาสักหน่อย



นี่คืออิ่มแล้วแต่จัดปาท่องโก๋ไป4ตัวกับน้ำเต้าหู้ใส่เครื่อง สำหรับปาท่องโก๋แบบกลมอร่อยตามที่เขาบอกจริงๆครับ แต่ตอนนี้อิ่มร่างจะแตกแล้ว สำหรับราคาทั้งหมดน่าจะประมาณ 14 หรือ 17 บาทนี่แหละไม่แน่ใจจำไม่ค่อยได้แต่ไม่ถึง 20 บาทแน่นอน หลังจากกินอิ่มแล้วที่อยากกลับที่พักมากมาย



เช้าของวันที่ 28 ธค 2558 รู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อยสบายนิดหน่อย คิดว่าถ้าขับรถไปต่อน่าจะทำให้เป็นหนักกว่าเดิมจึงตัดสินใจพักที่เดิมอีกคืนเพื่อถนอมแรงไว้ เช้านี้จึงเริ่มด้วยการเติมพลังด้วยการหาของกิน แถวๆวงเวียนน้ำพุ



ช่วงเช้าๆอยากกินอะไรแบบเบาๆเลยแวะร้านโจ๊กข้างทาง สภาพร้านดูแบบบ้านๆมาก แต่ก็ทำให้ได้บรรยากาศดี



มีชาร้อนให้กินฟรี น่าคบหาเป็นอย่างยิ่ง




โจ๊กหมูใส่ไข่ จากที่ลองกินผมว่ารสชาติธรรมดาพอกินได้



ถัดจากร้านโจ๊กมานิดหน่อยจะเป็นร้านขนม ไพพรรณ เป็นร้านขึ้นชื่อของที่นี่ ต้นตำหรับขนมปังใส้สังขยา ตอนแรกที่ผ่านมีคนรอต่อคิวซื้อกันเลยครับ พอผมไปนี่คนเขาจองขนมไว้หมดแล้ว ถ้าจะซื้อต้องจองไว้ ให้ชื่อกับบอกจำนวนที่กล่องที่ต้องการกับทางร้าน



ผมนัดมาว่าเอาอีกทีตอน 10 โมง ระหว่างนั้นก็เดินชมตลาดเช้าไปพลางๆก่อน มีผู้คนมากมายมาเดินจับจ่ายซื้อของ เราก็ค่อยๆเดินซึมซับบรรยายกาศการใช้ชีวิตปกติของชาวบ้าน รู้สึกดีมากมาย




แต่เดินไปเดินมามันก็จะเดินมาถึงจุดที่มาผ่านเมื่อวานคือศาลหลักเมือง เป็นเหมือนศาลเจ้าเล็กๆ



เดินเขามาที่ด้านหน้าศาล ก็จะเห็นช่องกลมๆเหมือนเป็นหน้าต่างที่หันหน้าไปทางแม่น้ำสะแกกรัง




ด้านหน้าทางเข้าศาลก็เหมือนศาลเจ้าทั่วๆไป มีรวดลายภาพวาดแบบจีน แต่ก็ดูเก่าแก่สวยงาม



เข้ามาด้านในก็จะมีโต๊ะตั้งเครื่องบูชา ระหว่างที่เข้ามามีผมเข้ามาไหว้อยู่คนเดียวเลยเดินดูอะไรสบายๆ 



ด้านบนขื่อจะมีภาพวาดต่างๆมากมาย อาสาสมัครชาวบ้านเคยบอกไว้ว่ารูปทั้งหมดใช้ภู่กันขนหนูวาด ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจทางด้านศิลปะ แต่มันก็ดูสวยในแบบที่เป็น





เขาบอกว่าให้มาสังเกตุเจ้าในศาลให้ดีว่าท่านไม่ได้แต่งชุดจีน ก็เป็นจริงตามที่เห็นครับ คิดว่าชุดที่ใส่อาจจะเป็นชุดแบบไทย อันที่จริงอาสาเขาได้อธิบายรายละเอียดไว้เยอะมากครับแต่ผมจำไม่ได้และเขาก็พูดเร็วมากบางอย่างก็ฟังไม่ทัน แต่ความรู้ของเขามากกว่าที่มีอยู่ในกูเกิ้ลแน่นอน เพราะผมลองค้นหาดูในกูเกิ้ลไม่พบในสิ่งที่เขาอธิบายไว้เยอะมาก จริงๆผมว่าถ้ามีเวลาควรไปสัมภาษณ์ข้อมูลจากพี่เขาไว้เพื่อไม่ให้สูญหาย



ตรงทางเดินข้างศาลหลักเมืองจะมีแผนที่ของจุดสำคัญในจังหวัดอยู่ด้วยครับ แผนที่นี้ใช้ได้เลยทำให้รู้ว่าจุดไหนมีชื่อเรียกว่าอะไรบ้าง



ถ้าในจุดปัจจุบันที่กำลังถ่ายรูปผมอยู่ที่จุดปึงเถ่ากง



หลังจากไหว้ที่ศาลเสร็จ ก็กลับไปที่ร้านไพพรรณ จากศาลหลักเมืองก็จะผ่านวงเวียนห้าแยก ไปทางถนนศรีอุทัย



เดินผ่านร้านค้า บ้านคน เขาอนุรักษ์บ้านแบบโบราณเอาไว้ ชอบชอบ



เดินจนมาถึงร้านขนม พอเข้าไปถามแม่ค้าบอกว่าได้ของพอดี ในตอนสั่งก็ไม่ได้ถามแม่ค้าว่าขนมหนึ่งกล่องมีกี่ลูก สั่งไม่ดูกำลังแขกเลย จะกินหมดไหมเนี้ย  T-T  เพราะขนมกล่องละ 80 ไทยบาทครับ มีขนม 10 ชิ้น แล้วที่สำคัญต้องรีบกินให้หมดเพราะขนมเขาไม่ใส่สารกันบูด



      เป็นขนมปังสังขยาที่หนักใส้จริงๆครับ กัดทีใส้ทะลัก อร่อยมากครับ ถ้าซื้อมาใหม่ๆแล้วกินเลย อยากบอกว่าใส้ร้อนมากๆครับ แต่โชคดีที่ผมฝึกปากมาอย่างดี สามารถทนความร้อนได้ 100 องศา ถ้าเป็นคนธรรมดาคงปากพองไปแล้ว แต่ผมอยากเท่ห์เลยไม่ยอกรับว่าปากพอง 555



หลังจากไปรับขนมเสร็จแล้วก็มุ่งหน้าไปวัดโบสถ์ทันที โดยกลับเส้นทางเดิมไปทาง ปุนเถ่ากง จากนั้นขึ้นสะพานข้ามแม่น้ำสะแกกรัง ก่อนจะข้ามไปก็ขอถ่ายสัก 1 รูป ติดเรือแว๊นซ์ด้วย อิอิ ^-^



ผมเดาว่าช่วงลอยกระทงเขาน่าจะมีงานที่นี่ครับ ดูจากรูปแล้ว มีการตกแต่งสิ่งต่างๆในแม่น้ำ และเหมือนจะจัดให้มีเรือนแพที่เป็นเวทีการแสดง (ผมเดานะครับ)



ส่วนชาวบ้านที่อาศัยในเรือนแพ เหมือนเขาจะมีอาชีพปลูกอะไรสักอย่าง มองไกลๆเหมือนเป็นกอหญ้าแต่เดาว่าอาจจะเป็นใบเตย อาร์สยาม(มันแน่อกต้องยกออก) เอ้ย ไม่ใช่แล้ว ใบเตยเฉยๆ #แต่บรรยากาศตอนเช้าดีมากครับ 



จากนั้นผมก็ไม่รอรี เริ่มสำรวจในวิหารกันเลย ด้านหน้าวิหารมีภาพวาดดูเก่าแก่มากครับ ผมไม่แน่ใจเรื่องรายละเอียดจริงๆ อาสาชาวบ้าน เขาอธิบายไว้เยอะครับแต่ผมจำไม่ได้ เลยได้แค่ถ่ายภาพไว้ แต่รับรองว่าเก่าแก่แน่นอนครับ
ข้อมูลจากเวป http://www.onep.go.th/cultural_environment/viewpage.php?mode=274
พระวิหาร  สร้างคู่มากับพระอุโบสถ ทำการบูรณะเมื่อปี พ.ศ. 2475 และทำการบูรณะล่าสุดในปี พ.ศ. 2550 มีภาพจิตรกรรมฝาผนังทั้งในและภายนอกพระวิหาร ภายในเป็นภาพพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดเทพยดาบนสรวงสวรรค์ พิธีอสุภกรรมฐานและภาพด้านบนของฝาผนังเป็นภาพชุมนุมพระสงฆ์สาวก สลับพัดยศลายต่างๆ ด้านนอกหน้าพระวิหารเป็นภาพการถวายพระเพลิง และวิถีชีวิตชาวบ้าน ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ภายในพระวิหารนอกจากมีภาพจิตรกรรมแล้วยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนสมัยรัตนโกสินทร์อยู่หลายองค์


ด้านในมีพระประทานอยู่ในท่ายืน และ รอยพระพุทธบาทจำลอง



ภาพจิตกรรมฝาผนังด้านข้าง สวยงามมาก


ภาพจิตกรรมฝาผนังด้านประตู สวยงามไม่แพ้กัน


จากนั้นก็ไปสำรวจกันต่อในโบสถ์ข้างๆวิหารกันเลยครับ  ข้อมูลจากเวป http://www.onep.go.th/cultural_environment/viewpage.php?mode=274
พระอุโบสถ  เป็นพระอุโบสถที่เก่าแก่และงดงาม ก่อสร้างโดยช่างฝีมือชั้นครู สันนิษฐานว่าก่อสร้าง มาเป็นร้อยปีล่วงมาแล้ว ในปี พ.ศ. 2518 - 2519 ได้มีการบูรณะซ่อมแซมพระอุโบสถที่มีสภาพชำรุดทรุดโทรมมาก แต่ก็ยังคงรักษารูปทรงของเก่าได้เหมือนอย่างเดิม ภายในพระอุโบสถมีภาพจิตรกรรมฝาผนังฝีมืองดงามมาก เขียนในสมัยรัชกาลที่ 3 ตอนปลาย แล้วเสร็จในต้นสมัยรัชกาลที่ 4 โดยฝีมือช่างหลวง(ช่างที่มาจากกรุงเทพฯ ) แบ่งการเขียนเป็น 2 ส่วน เบื้องล่างเป็นภาพพุทธประวัติเริ่มตั้งแต่ประสูติ บรรพชา มารผจญ ตรัสรู้ โปรดปัญวัคคีย์ ปรินิพพาน และถวายพระเพลิง เบื้องบนเป็นภาพเทพชุมนุมสลับพัดยศลายต่างๆ ปัจจุบันภาพบางภาพชำรุดและได้ซ่อมแซมใหม่ยังคงภาพจิตรกรรมเหมือนเดิม นอกจากนี้ภายในพระอุโบสถยังประดิษฐานพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัยปางมารวิชัยเป็นพระประธานอยู่ท่ามกลางพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยปางมารวิชัยอีก 4 องค์



ภาพจิตกรรมฝาผนังด้านข้าง สวยมาก


ภาพจิตกรรมฝาผนังด้านข้าง


ด้านหลังวิหารและโบสถ์มีเจดีย์สามสมัย


                    ถัดออกมาบริเวณริมแม่น้ำจะมีศาลาดูแล้วเก่าแก่มาก สร้างในปี พศ 2442 เดาว่าศาลานี้น่าจะเคยใช้ในสมัย ร 5 เสด็จประพาส เพราะดูจากรายละเอียดในเวปแล้ว ท่านเสด็จมาในปี พศ 2444  ดังนั้นอาจจะเป็นไปได้ว่าศาลานี้อาจจะได้ใช้ในเห็นการณ์สำคัญครั้งนั้น           # เนื่องจากตอนนี้เป็นคนป่วยรู้สึกว่าการออกมาเดินแบบนี้ทำให้เพลียมากจึงต้องกลับไป กินยาและ นอนพักผ่อน ก่อนที่จะได้ไข้ไปมากกว่านี้ T-T


หลังจากได้กินยาและนอนพักตั้งแต่ 10.30 ถึงบ่าย 2 โมง (ข้าวเที่ยงยังไม่ได้กินแต่ลองท้องด้วยขนมปังสังขยา ) ก็มาที่เข้าสะแกกรัง ในใจคิดแค่ว่าอยากเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ เราขึ้นทางบันไดดีกว่า อยากบอกว่าทำเอาเกือบตาย เหนื่อยมาก หายใจไม่ทัน แถมแดดร้อนทะลุหนังกำพร้า กว่าจะขึ้นไปถึงพักหลายรอบมาก บันไดนี้จะเป็นทางลงขอพระในเทศกาลตักบาตรเทโว (แอบได้ยินคนที่มาเที่ยวเขาคุยกันเลยได้ข้อมูล)


พอขึ้นมาถึงผมนี่นั่งพักยาวๆค่อยๆจิบน้ำ เหนื่อยหัวใจแทบหลุด T-T หลังจากที่ขึ้นมาทางบันไดเราจะพบวิหาร ด้านในมีรอบพระพุทธบาทจำรอง ด้านหน้าวิหารจะมีระฆัง คนส่วนใหญ่ที่มาก็จะมาตี 3 ครั้ง จากที่นั่งดูหลายๆคนเขาทำกันครับ




ระฆังนี้ถูกสร้างขึ้นในสมัย ร 5



ด้านในวิหารมีรอยพระพุทธบาทจำลองอยู่ตรงกลาง



มีหลายจุดให้ชมวิวตัวเมืองอุทัย ได้ยินเสียงเด็กนักเรียนร้องเพลงเชียร์ดังมาจากด้านล่าง สงสัยว่ากำลังมีการแข่งกีฬาสี


มีวิหารพระโพธิสัตว์กวนอิม แต่ผมไม่ได้เข้าไป คือใช้พลังงานไปเยอะตอนเดินขึ้นมาครับไม่ค่อยอยากทำไรมาก



จากนั้นก็กลับซื้อน้ำแล้วกลับมานั่งพักที่เดิมกับตอนขึ้นมา แดดร้อนจริงไรจริง



หลังจากพักมาซักระยะหนึ่งจนหายเหนื่อยก็เริ่มกระบวนการเดินลงเขา รู้สึกว่าบันไดน่าจะ 500กว่าขั้น ขาลงดีหน่อยไม่ค่อยเหนื่อย #อันที่จริงจะมีทางให้ขับรถขึ้นมาได้ แต่ผมดันเปรี้ยวเอง จึงต้องรับผลของความเปรี้ยวไป T-T



หลังจากใช้เวลาสักพักในการเดินลงจะเขาสะแกกรัง ถึงจะเหนื่อยน้อยกว่าขาขึ้นแต่ก็ยังเหนื่อยครับ พอลงไปถึงด้านล่างเห็นมีรถเข็นจอดขายน้ำก็เลยนั่งพักดื่มน้ำก่อนที่จะไปที่อื่นต่อ   # จุดต่อไปคือ  “สวนน้ำเฉลิมพระเกียรติ” (บึงพระชนกจักรี)




จากข้อมูลที่ได้มา ช่วงที่ผมไปจะเป็นช่วงที่มีนกเป็ดน้ำมาอาศัยอยู่ที่บึงพอดี จึงลองไปดูสักหน่อย จากที่เห็นก็มีนกเป็ดน้ำเยอะเหมือนกันครับ มันทำให้ผมนึกถึงรสชาติของเป็ดพะโล้ 555 #เนื่องจากเป็นมือสมัครเล่นในการถ่ายรูป จึงถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยสวยครับ



รอบๆก็เป็นที่สวนสาธาณะ มีคนมาวิ่งออกกำลังกาย มีเด็กนักเรียนหนุ่มสาวมานั่งคุยกัน มีคนมานั่งตกปลา (คิดว่าที่นี่เขาไม่น่าจะให้ตกปลานะ) หลังจากดูรอบๆ พระอาทิตย์เริ่มตก ท้องก็เริ่มหิวตามระเบียบ # รีบไปหาของกินดีกว่า



ขากลับใช้เส้นทางที่นักปั่นจักรยานใช้กัน เป็นเส้นทางเล็กผ่านหมู่บ้าน ทุ่งหน้า ดูเป็นธรรมชาติดีมากครับ เส้นทางนี้จะกลับไปทางวัดโบสถ์




หลังจากไปย่านตลาด ก็พยายามขับวนหาร้านอาหาร จนไปเจอวงเวียน ที่น่าสนใจ เป็นลูกกลมๆ ดูแปลกตาดีครับ


ใกล้วงเวียนมีศาลเจ้าอยู่ใกล้ๆ เนื่องจากไม่ได้เข้าไปดูเลยไม่รู้ว่าศาลเจ้าอะไร แต่ถ้าดูจากแผนที่ ขอเดาว่าเป็นศาล ปึงเถ่าม่า(น่าจะมีอะไรเกี่ยวข้องกับศาลปึงเถ่ากงอ่ะป่าว ทิ้งให้เป็นความสงสัยอยู่ในใจ)




ขี่รถวนไปวนมาไม่รู้จะกินอะไรดี จึงตัดสินใจ แวะหาของกินในตลาดแถวๆวงเวียนช้าง มีของกินขายมากมายเลย เยอะจนเลือกไม่ถูกว่าจะกินอะไร


พระอาทิตย์ไกล้ตกลงล่ะ ได้ยืนมองวิถีชีวิตประจำวันของผู้คนที่นี่ก็เพลินดี



ก็ค่อยๆเดินหาของกิน ดูจากราคาแล้วราคาก็กลางๆไม่แพงมาก



เห็นทอดมันน่ากิน เลยจัดสักหน่อย รสชาติใช้ได้ เนื้อทอดมันไม่ร่วนเหนียวหนึบ ก็เดินหาอะไรกินเล่นไปเรื่อยเปื่อย



ระหว่างขี่รถกลับที่พักเห็น มีร้านเยื้องกับโรงแรมมีร้านขายผัดไท กับ ขนมผักกาด




เลยสั่งวุ้นเส้นกุ้งสด กับ ขนมผัดกาด มากิน (อันนี้แหละเรียกกินจริง) หน้าตาน่ากิน รสชาติใช้ได้


และที่สำคัญ ขนมผักกาด มันไม่มีส่วนไหนที่บ่งบอกความเป็นขนมเลย 555 แต่ก็รสชาติใช้ได้ หลังจากกินเสร็จก็ขี่รถเล่นเรื่อยเปื่อยจากนั้นก็กลับโรงแรมนอน




เช้าของวันที่ 29 ธค 2558 หลังจากอาบน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของแพ๊คไว้ที่น้องอั่งเปาเรียบร้อยก็เตรียมตัวออกเดินทาง แต่ก่อนจะไปก็ต้องแวะหาของกินก่อน โดยไปที่ตลาดเก่าสะแกกรัง คิดว่าน่าจะเรียกว่าตรอกโรงยา





ขับเข้าไปวนซัก 1 รอบเพื่อดูลาดเลา เห็นว่ามีร้านที่มีคนต่อคิวอยู่ 4-5 คนจึงทำการจอดเพื่อสำรวจว่าเป็นร้านอะไร (ถ่ายตอนกินเสร็จ เหลือคนรอแค่คนเดียวล่ะ)


ในร้านมีป้ายรายละเอียดติดอยู่ด้านข้าง พอดีไม่ได้อ่านละเอียดมากมีอะไร แต่ที่ดูแบบคร่าวๆคือ ขายมา 4 รุ่นแล้ว



จากที่ได้ลองชิม ยอมรับเลยครับว่าอร่อยจริง แต่ถ้าจะไปกินจะต้องทำใจเรื่องการจัดการคิวหน่อยนะครับ เพราะตอนไปนั่งรอ มีลูกค้าบ่นว่าเขามาก่อนทำไมถึงให้คนมาทีหลับ บลา บลา บลา ถ้าไปก็ใจเย็นๆนะครับ อยากกินของอร่อยต้องใจร่มๆ ราคาน่าจะ 35 - 40 ไม่แน่ใจแต่ไม่เกินราคานี้



หลังจากเพิ่มพลังด้วยอาหารเรียบร้อยแล้วก็วางแผนเดินทางต่อ จุดต่อไปคือ สุโขทัย เมืองศรีสัชนาลัย ที่เลือกไปที่นี่เพราะ เมื่อทริปที่ขี่ขึ้นเชียงใหม่อยากจะแวะแต่ไม่ได้แวะเพราะกลัวไม่ทันเวลา จึงทำให้ที่นี่ถูกเลือกเป็นเป้าหมายต่อไป ระยะทางในแผนที่ประมาณ 275 กิโลเมตรไกลพอสมควร


ระยะทางรวมตอนนี้ ประมาณ 235 กิโลเมตร ป่ะลุยกัน


ลืมไป ตอนขามาและขากลับ จะผ่านวงเวียนนาฬิกานี้ ถ้าจะไปเส้นพหลโยธิน





หลังจากขับออกมาจาก อุทัยธานี ก็มีพักเป็นระยะๆ ก็มีมาพักด้านหลัง ปตท เก้าเลี้ยว จังหวัดนครสวรรค์ เพราะส่วนใหญ่ในปั๊มจะหาที่นั่งร่มๆยาก นอกจากจะไปนั่งในร้านกาแฟ


พอดีเห็นเสาไฟหาวางราบอยู่บนพื้น เลยอาศัยนอนบนเสาไฟฟ้าซักแพร๊บนึง



จากนั้นก็ขับต่อไป ถึงแถวพิจิตรประมาณเที่ยงๆ จึงหาที่แวะกินข้าว ไม่รู้จะกินอะไรดิก็เลยแวะกินไก่ย่างวิเชียรบุรีข้างทาง (จริงๆมันมีขายอยู่ทุกที่นะ ขี่ไปนี่เห็นตลอดทาง) ร้านที่กินลักษณะร้านจะเป็นเพิง ร้านอยู่ตรงที่กรรมการผู้ใหญ่บ้าน พอดีเป๊ะ จริงๆก่อนหน้าหรือขี่ต่อไปก็มีหลายร้าน ไก่น่าจะตัวละ 120 ไทยบาท แต่กินคนเดียวทั้งตัวคงไม่ไหว เลยสั่งแค่ครึ่งตัวกับข้าวเหนียว 1 ห่อ พอกินเสร็จก็เดินทางต่อทันที



กว่าจะขับถึงศรีสัช ก็ประมาณ 4โมงเย็น จะต้องหาที่พักก่อน ด้วยเวลาอันกระชัดชิดเลยต้องเลือกที่ใกล้กับอุทยานมากที่สุด พยายามหาในเนต เจอสักทองรีสอร์ท จริงๆคิดว่าถ้ามีเวลาขี่รถหาคงจะได้ไกลกว่านี้ แต่ทำไงได้ ก็ต้องพักสิครับ โทรไปถามก่อนว่ามีห้องว่างไหม เจ้าของบอกมีครับ เลยบอกว่าเดียวเข้าไปครับ เป็นบ้านหลังเล็กๆมีที่จอดรถด้านข้าง


สภาพในห้องก็ดู OK





มีตู้เย็น แอร์ ทีวี น้ำอุ่น Wifiฟรี เบอร์ติดต่อตามด้านล่างครับ



หลังจากเอาของเข้าห้องเรียนร้อยก็รีบออกมาไปที่อุทยานประวัตศาสตร์ศรีสัชนาลัย เพราะกลัวจะปิด กว่าจะขี่ไปถึงก็เกือบจะ 5 โมง #ไปถึงที่จำหน่ายตั๋วปิดแล้ว จึงไปถามเจ้าหน้าที่ บอกว่าเวลานี้เข้าได้เลยไม่ต้องซื้อตั๋ว #จากที่สังเกต คนที่มาเที่ยวจะขี่จักรยาน จึงถามเจ้าหน้าที่ว่าระยะทางไกลไหม เขาบอกว่าพอสมควร จึงตัดสินใจเช่าจักรยาน # ค่าเช่า 20 บาท และถามคนเช่าว่าที่นี่ปิดกี่โมง แกบอกว่าอยู่ได้เรื่อยๆจนกว่าเราจะออก



เมื่อผ่านทางเข้ามาสิ่งแรกที่เจอคือ แผนที่อุทยาน จุดหมายที่เราจะไปคือวัดช้างล้อม




ทางปั่นจักรยานดูร่มรื่นดี


ตอนนี้ 5 โมงกว่าล่ะ ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่


หน้าทางเขาจะมีป้ายบอกรายละเอียดถึงประวัติของเจดีย์ # ตามป้ายได้บอกว่าได้สร้างขึ้นในสมัยพ่อขุนรามคำแห่ง พศ. 1828 ซึ่งเป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ



ถัดจากป้ายรายละเอียดก็จะเป็นป้ายวัด


หลังจากที่กราบไหว้ขอพรเสร็จเรียบร้อยก็เริ่มเดินเข้าไปสำรวจรอบๆเจดีย์ #รู้สึกต้องพยามยามรีบเดินเพราะพระอาทิตย์ใกล้จะตกแล้ว อารมณ์เหมือนมาแข่ง Rally ยังไงไม่รุ้



หลังจากเดินซักพักก็มานั่งถ่ายรูปบ้าง # มีรถเจ้าหน้าที่ประกาศว่าอุทยานจะปิดตอนหกโมงให้นักท่องเที่ยวออกจากอุทยานก่อนหกโมง #ไหนคนเช่าจักรยานบอกว่าจะออกเมื่อไหร่ก็ได้ !$#@!! เพิ่งจะเข้ามายังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเลย


พอได้ยินว่าเขาจะปิดหกโมงก็เลยรีบข้ามไปวัดฝั่งตรงข้าม วัดเจดีย์เจ็ดแถว 



พอเดินเข้ามาก็จะพบว่าถูกล้อมรอบด้วยเจดีย์ต่างๆ #น่าจะมาก่อนที่จะมืด 

ก่อนที่จะเข้ามาถึงเห็นฝรั่งกลุ่มหนึ่งกำลังถ่ายรูป โดยที่พวกเขาปีนขึ้นไปยืนบนเสาที่หัก และ ปีนขึ้นไปบนบริเวณใกล้เคียง #จริงๆแล้วควรมีป้ายห้ามปีนติดอยู่ทุกพื้นที่ที่เป็นโบราณสถานนะ ไม่เข้าใจเหมือนกันทำไมที่นี่ไม่มี #ฝรั่งพวกนี้ก็ไม่มีจิตสำนึกเกี่ยวกับโบราณสถาน ว่ามันอาจจะแตกหักเสียหาย

ฟ้าเริ่มมืดล่ะ เลยต้องรีบออกจากตัวอุทยาน และเอาจักรยานไปคืน 

ก็ได้ถามกับร้านเช่าจักรยานว่าช่วงเย็นๆมืดๆ มีวัดไหนเปิดไฟให้ถ่านรูปได้บ้างไหม "เขาตอบว่าไม่มี แต่มีงานสืบสานวัฒนะธรรม ใกล้วัดพระปรางค์" จึงมุ่งหน้าไปแถววัดพระปรางค์ตามคำบอกกล่าว 


มาถึงก็เห็นว่ามีร้านขายของกิน มีการแสดงของน้องๆเด็กประถม ดึกๆน่าจะมีรำวงย้อนยุคด้วยครับ แต่ผมไม่สนใจอะไรนอกจากของกิน 555


เริ่มด้วยซื้อน้ำมะพร้าวใส่กระบอกไม้ไผ่ รสชาติเฉยๆ แต่ได้ความรู้สึกตรงใส่กระบอกไม่ไผ่นี่แหละ

ก็เดินเข้าไปเรื่อยๆ ร้านขายของตั้งขายกันแบบบ้านๆมาก คนมาเดินเยอะพอสมควร คิดว่าคนมาเที่ยวส่วนใหญ่เป็นคนระแวกนั้น เพราะถ้าเป็นนักท่องเที่ยวคงไม่รู้ถ้าไม่ได้ผ่านมาเจอ "เพราะถ้าผมไม่ได้ถามผมก็ไม่รู้เหมือนกัน"





ข้าวเกรียบปากหม้อราดกะทิ อร่อยมากครับ ให้ห้ากระโหลก เอ้ย ห้าดาว 555 กินแล้นฟินสุดๆ

ใส้กรอกหมูล้วน ศรีสัช จริงๆถ้าไม่มีคำว่าศรีสัชก็จะไม่ซื้อนะ 555 ก็เลยลองกินดูก็ถือว่าอร่อยใช้ได้  

อ้อย ขายคู่กับ จิ้งหลีดขาว วงศ์เทวัญ เอ้ย จิ้งหลีดทอด #จริงๆก็ซื้อแต่อ้อย แต่ก็แกล้งไปถามว่านี่อะไร เพื่อจะได้ชิมจิ้งหลีดฟรี  555 #จากนั้นก็เดินกินอะไรไปเรื่อยเปื่อย ไปซื้อขนมจีนแกงเขียวหวานกิน ตักกินแค่คำเดียวก็ทิ้งเลย ไร้รสชาติ เลียพื้นกระดานยังมีรสชาติก่า 555 ย้อเย่นน้าาา #จากนั้นก็กลับรีสอร์ทนอน

เช้าของวันที่ 30 ธค 2558 ตอนแรกตั้งใจว่าจะตื่นแต่เช้าเพื่อไปเก็บภาพในอุทยาน แต่แล้วก็ตื่นสายตามเคย จึงคิดว่าเก็บของแล้วเดินทางต่อดีกว่า ตอนออกมาแพ็กของที่น้องอั่งเปา เจอลุงที่ดูแลรีสอร์ทมาบอกว่ามี ขนมปังกับกาแฟเลี้ยงตอนเช้านะครับ ก็เลยไปตามที่ลุงบอกสักหน่อย

ก็ไม่ได้มีอะไรมากมาก มีกระติกน้ำร้อนกับกาแฟและโอวัลติน 

ถัดมาก็จะเป็นขนมปัง เนย แยม และที่ปิ้ง

ผมกินแค่พอเป็นพิธี เพราะเดียวจะไปหาข้าวกินในตัวตลาดอยู่แล้ว ช่วงนั้นกินก็เจอคนที่มาพักคนอื่น เห็นเขาเล่าว่ามาจากเชียงใหม่กำลังจะกลับกรุงเทพ ผมก็บอกว่าตัวผมจะไปน่าน ก็คุยกันนิดหน่อยก็ขอตัวที่จะเดินทางไปต่อ "บ้างครั้งการคุยไปเรื่อยๆเปื่อยๆก็รู้สึกดีเหมือนกัน"

ตอนนี้ระยะทางรวมประมาณ 535 กิโลเมตร เวลาเกือบเก้าโมง

จากนั้นก็ไปแวะหาของกินแถวในตลาด ไม่แน่ใจว่าเป็นตลาดศรีสัชหรือปล่าว 

        ผมก็ขี่ไปเรื่อยๆผ่านตลาด แถวที่คนเยอะๆ เห็นแล้วไม่อยากแวะจึงขี่ต่อไปเรื่อยก็สะดุดตากับร้านหนึ่งซึ่งไม่มีคนนั่งเลย แล้วก็ไม่มีชื่อร้าน และคิดว่าน่าจะเป็นลูกค้าคนแรกด้วย สภาพร้านดูเก่าแก่เหมือนขายมานาน

                     ส่วนเมนูที่สั่งมีแค่ ข้าวผัด ข้าวขาหมู กระเพาหมู ไก่ ขาหมู จริงๆก็อยากลองกระเพาขาหมู แต่กลัวจะเผ็ดแล้วมันจะไม่มีผลต่อกะเพาะและลำไส้ ส่งผลให้ระบบขับถ่ายดีเกินเหตุได้ 


จึงตัดสินใจสั่งแค่ข้าวผัดไข่ เพราะทางที่จะไปต่อมันเป็นทางขึ้นเขาหาห้องน้ำลำบากแน่นอนครับ ร้านนี้มีน้ำเปล่าฟรี ราคาปกติ 35 ไทยบาท

อากาศตอน 9.00 ก็ 27 องศา มาครั้งนี้ยังไม่ได้เจออากาศเย็นเลย

เป้าหมายที่จะไปต่อคือยิงยาวสู่จังหวัดน่าน ระยะทางตามแผนที่ประมาณ 237 กิโลเมตร ไกลพอสมควรเลยครับ
ก่อนขึ้นเข้าก็ไม่ลืมที่จะแวะซื้อขนมและเติมน้ำมันให้เต็มถึง นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตอั่งเปาที่ได้เติมเบนซิน 95 จึงถ่ายรูปไว้เป็นที่ระทึกหน่อย อิอิ


จากนั้นก็ขับไปผ่านทางขึ้นเขา จะผ่านด่านตรวจ แต่ก็ไม่เห็นเขาตรวจอะไร เส้นทางนี้เคยใช้เมื่อปีที่แล้วตอนที่ขึ้นไปเชียงใหม่ เส้นทางนี้สวยดี แวะจอดถ่ายบริเวณสะพาน เห็นแล้วเสียวไส้ กลัวความสูง

ถนนราดยางเรียบ ต้นไม่สองข้างทางทำให้รู้สึกดีในการขับขี่ เพราะทำให้รู้สึกไม่ร้อนมาก แต่รถที่ขับเส้นนี้ เหยียบกันยังกะจรวดทางเรียบ ขับผ่านทีขนตูดกระพือ 555


ขับมาเรื่อยๆจะมาแวะถ่ายรู้ที่จุดพักรถ ทำดีขึ้นว่าปีที่แล้ว มีการไถพื้นให้เรียบ เทปูน มีต้นไม้แห้งๆ มาเพิ่ม มีก้อนหินก้อนๆมาวางตกแต่งด้วย

มองไปไกลๆ ก็เห็นทิวทัศน์กว้างๆ สบายตา สบายใจ แต่มาชิวมากไม่ได้ วันนี้ทางไกล ต้องเดินทางต่อ 

                   ก็ขับไปได้สักชั่วโมงกว่า ก็เจอจุดบริการนักท่องเที่ยว ตอนไปจอดเจ้าหน้าที่ทุกคนหันมามองเป็นตาเดียว ผมก็ยกมือไหว้ "สวัสดีครับ พี่ขอเข้าห้องน้ำหน่อยครับ" พี่เข้าบอกเชิญด้านหลังเลี้ยวซ้ายเลยครับน้อง


จากที่ดูตามป้ายที่นี่คือ ที่ว่าการตำรวจชุมชนดงยาง 


ห้องน้ำที่เข้าไปใช้บริการ จัดว่าสะอาดมากครับ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะพบห้องน้ำสะอาดขนาดนี้ให้เขตป่า จัดไป 3-4 โบกี้ 

หลังจากเข้าห้องน้ำเรียบร้อย พี่ๆเขาก็ตอนรับด้วย Welcome Drink เป็น M-150 ปกติก็ไม่ค่อยได้กิน แต่จะปฏิเสธก็กลัวเสียน้ำใจเลยจัดไปสักหน่อย เล่นเอาใจสั่นไหวเมื่อได้พบเธอเบย ^-^

นอกจาก M-150 และก็ยังมีส้มและลูกอม(ไม่ใช่เพลงของวัชราวลีนะครับ อิอิ )ให้กินด้วย ผมก็ไม่รอช้าจัดตามน้ำใจพี่เขา จากนั้นก็ได้ไปนั่งคุยกับพี่ๆเขาถามว่าจะไปไหน ก็บอกว่าจะไปถึงน่านครับ พี่เขาบอกว่าไปถึงแล้วก็หาแฟนที่น่านสักคน ก็ตอบพี่ๆเขาไปว่าถ้าได้ก็ดีครับ (แต่ในใจถ้าได้นี่ตรูจะกราบเบย 5555) จากนั้นก็ขอตัวเพื่อเดินทางต่อ ทางยังอีกยาวไกล



ระหว่างขี่ไปเรื่อยๆ ก็พบว่าร้านข้างทางขายอะไรซักอย่างเป็นสีขาวๆ อ่านจากป้ายเขาเขียนว่ากลอย เลยตัดสินใจแวะดูว่าไอ้กลอยนี่มันคืออะไร ตัดสินใจมาแวะร้าน กลอย นิตยา เพิ่งรู้ว่าร้านนิตยานอกจากจะขายไก่ย่างแล้วยังมาขายกลอยที่นี่อีกด้วย 555 


จากที่สอบถามเข้าของร้านบอกว่า กลอยมันจะเหมือนกับหัวมัน บอกตามตรงก็ยังไม่เคยเห็นหัวมันที่เพิ่งจะขุดเหมือนกัน นี่ก็ได้ความรู้ใหม่ 

เจ้าของร้านบอกว่ากลอยมีหลายแบบ แบบแห้ง แบบทอด แบบนึ่ง สนใจจะรับแบบไหน

เห็นที่เขานึ่งอยู่ร้อนๆก็เลยตัดสินใจ ลองแบบนึ่งแล้วกัน

เขาก็เอากลอยที่นึกไปใส่ มะพร้าวขูด น้ำตาล งา จากนั้นก็คลุกเคล้าให้เข้ากัน สำหรับราคา 20 ไทยบาท

แล้วก็ถามเจ้าของร้านเพิ่มว่าไอ้ที่อยู่ในถุงนี่คืออะไร พี่เขาบอกว่า ปอกระบิด ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาไปทำอะไร # แต่จากที่เปิดหาข้อมูลในเวป http://www.pharmacy.mahidol.ac.th "บอกว่าช่วย รักษาเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ลดน้ำหนัก แก้เหน็บชา ชาปลายมือปลายเท้า ภูมิแพ้ ไทรอยด์ ปวดข้อ เข่า หลัง รวมถึง ไมเกรน บำรุงตับ ไต และใช้ได้ในโรคเรื้อรังทุกชนิด รวมถึงระบบของสตรี ด้วยวิธีการเตรียมที่ง่าย สะดวก โดยการต้ม และมีรสชาติที่ดื่มง่าย ดังนั้นมีผู้คนจำนวนมากเริ่มสนใจ และใช้มัน และมีหลายคนที่ตั้งคำถามที่ว่ามันใช้ได้จริงหรือ และปลอดภัยหรือไม่ " แต่รู้สึกว่าจะยังไม่ได้ถูกรับรองอย่างเป็นทางการ ก็แค่รู้จักมันไว้ก็พอไม่ต้องไปลอง

ขี่ไปจนถึงแพร่ประมาณเที่ยงกว่าๆ ได้เวลาหาข้าวกินล่ะ พอดีเจอร้าน ครัวไม้งาม ตัดสินใจแวะร้านนี้แหละ  

ภายในร้านก็ดูโปร่งๆ สบายๆ 

ที่ร้านก็ขายอาหารเป็นกับข้าวและอาหารจานเดียว ก็ไม่รู้จะสั่งอะไรดีก็เลยสั่งหมูทอดกระเทียมไข่ดาว กับ ชาแอปเปิ้ลเย็น # ซักพักมีเด็กในร้านอีกคนมาถามว่ารับน้ำอะไรไม่ค่ะ (ไม่รู้ว่าจะเป็น Code อะไรหรือป่าว) ก็เลยบอกไปว่าสั่งชาไปแล้วครับ หลังจากได้กินข้าวหมดจาน รออีกซักครู่ ชาแอปเปิ้ลถึงจะปรากฏตัว แต่ก็ไม่ได้ซีเรียสอะไร เพราะก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมาก

กินข้าวเสร็จก็ไปแวะเข้าห้องน้ำหลังร้าน มองไปบริเวณข้างๆก็เป็น ทุ่งนา ฟ้ากว้าง เป็นวิวที่ดูดียิ่งนัก

พอเดินกลับมาที่รถเพื่อจะออกเดินทาง ก็เห็นว่า อ้าว! ลืมกินกลอยใจไปซะสนิทชิดเชื้อ ก็เลยจัดไปชักหน่อย ก็อร่อยดี ระหว่างยืนกินก็คุยกับลุงพนักงานที่ร้าน ก็คุยไปเรื่อยๆเปื่อยๆ แล้วก็ขอตัวออกเดินทาง

จอดติดไฟแดงที่แยก กอเปา ก็เลยถ่ายรูปสักหน่อย

ทางที่จะไปคือ ร้องกวาง #ระหว่างเดินทางก็เจอพวก Biker MSX125  เหมือนๆกัน เขาก็มียกมือทักทาย ผมก็ยกมือตอบ 555 ก็สนุกดีเหมือนกัน

จากที่ขับมานานพอสมควร เราก็เข้าเขตน่านล่ะ เห็นทิวเขาอยู่ลิบๆ

ทางที่ขับไปจังหวัดน่านผมว่าทางค่อนข้างสวยทีเดียว ถ้าเป็นช่างภาพที่มีกล้องดีๆ คงได้รูปสวยๆมาเพียบแน่ๆ สวนตัวผมก็มือโปเหมือนกัน แต่มือโปลิโอ 5555

ผมว่าเส้นทางระหว่างเชียงใหม่ กับ น่าน ในความสวยผมโหวตให้น่านครับ ความรู้สึกส่วนตัวผมว่าตอนที่เรายืนอยู่จุดนั้นเหมือนเราโดนโอบล้อมด้วยขุนเขา 

ด้วยระยะทางที่ไกลบวกกับร่างกายที่อ่อนแอ และอากาศค่อนข้างร้อน รู้สึกจะเพลียมาก กลัวจะหลับ จึงต้องจอดแวะพักสายตาสักหน่อย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แต่ดูจากจุดเช็คอินใน FB บอกว่าอยู่บริเวณบ้านฝั่งหมิ่น

แวะจอดรถพักดื่ม สปอนด์โง่ซักหน่อย เพราะแค่เซ่อน่าจะแรงไม่พอ 555

หลังจากขับมาถึงตัวเมืองน่าน อันดับแรกก็หาที่พักก่อนเลย ก็พยายามขับวนหาเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ที่เห็นจะเป็น Guest House จึงลองหาในเวป ก็เจอที่พัก Nan Guest House อยู่แถวๆวัดไผ่เหลือง เข้าไปในซอยประมาณ 50 เมตรมั้ง ผมได้พักห้องพัดลม ห้องน้ำรวม ราคา 350 ไทยบาท


สภาพห้องดู OK ห้องเตียงเดี่ยวหมดจึงได้เป็นเตียงคู่ ตอนนอนรู้สึกลำคาญนิดหน่อยเวลาขยับตัวเสียงเตียงจะดังเอียดอ๊าด ไม่ต้องพูดถึงว่ามาเป็นคู่รัก เสียงเตียงคงดังไปถึงปากซอย 555


ห้องไม่มีอุปกรณ์อะไรมาก มีเตียง โต๊ะ ราวตากผ้า พัดลมเพดาน


ประตูมีช่องเยอะ มียุงเข้ามาบ้าง ตบยุงตายไป 2 ตัว เรื่องเสียงไม่ต้องพูดถึงคนเดินผ่านแล้วตดเราก็ได้ยิน แต่ก็นอนได้ ไม่มีปัญหา ดึกๆได้ยินเสียงคนนั่งกินเหล้าปรับทุกข์เรื่องปัญหาหัวใจกัน #ตามสัจธรรม ที่ใดมีรัก ซักพักมีYes เอ้ย! ที่นั้นมีทุกข์


หลังจากเก็บของเข้าที่พักเสร็จ ก็ต้องใจไว้ว่าจะไปไหว้พระธาตุแช่แห้ง #แต่แล้ว Google Map มันพาไปไม่ถูกที่ มันชี้จุดว่าพระธาตุอยู่กลางถนนในตัวเมือง ทำเอาผมเดินวนหาอยู่หลายรอบ เสียพลังงานจริมๆ


หลังจากไม่เจอพระธาตุแช่แห้งแล้วก็เลยแวะเข้ามาไหว้พระธาตุช้างค้ำวรวิหาร จริงแล้ววัดนี้ไม่ได้ใกล้จากที่พัก เดินมาก็ได้


ก็เดินเข้ามากราบพระประธานด้านใน


ถ้าจะไปให้ถูกคือต้องพิมพ์ว่าวัดพระธาตุแช่แห้ง



พอมาถึงก็จอดอั่งเปาไว้ด้านนอก แล้วก็เดินเข้ามาภายในวัดเหมือนกะกำลังจะจัดงานบางอย่าง



มีร้านขายอาหารที่ให้นั่งกินที่พื้นกับโตก ดูแล้วได้บรรยากาศทางเหนือจริงๆ


ไม่แน่ใจเขาเรียกว่าคมไฟหรือปล่าว แต่ก็มีแขวนประดับตามทางเดิน ดูงามตายิ่งนัก


ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นซุ้มเพื่อการใด แต่ดูแปลกตาดีเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกครับ


พระในวัดกำลังช่วยกันจัดสถานที่คิดว่าน่าจะเป็นพิธีสวดมนต์ข้ามปีในวันพรุ่งนี้

ในที่สุดก็เข้ามาถึงพระธาตุแช่แห้ง สำหรับบุคคลที่เกิดปีกระต่าย แต่ผมก็ไม่ได้เกิดปีกระต่าย อิอิ


ด้านข้างพระธาตุจะมีวิหาร ให้ผู้คนไปกราบไหว้ขอพร และด้านในมีให้ถวายสังฆทานและพรมน้ำมนต์


มีผู้คนเข้ามาไม่ขาดสาย แต่โชคดีที่มาตอนเย็นแล้วคนจึงไม่เยอะมาก


หลังจากไหว้พระด้านในวิหารเสร็จก็ออกทางประตูด้านข้าง เพื่อออกไปทางด้านข้างของพระธาตุ


ลองเดินมากดูด้านหลังของพระธาตุ คนน้อยเหมาะแกการถ่ายรูป แต่แสงมันไม่อำนวยอย่างมากจึงถ่ายแล้วออกมาแล้วดูมืด เนื่องจากใช้กล้อง SJ 4000wifi เวลาแสงน้อยมันจะดูมืดๆ


ระหว่างขับกลับเข้าตัวเมือง ผ่านทุ่งกว้างๆที่มีทิวเขาทอดยาวอยู่เบื้องหลัง มีฝูงวัวกำลังกินหญ้า ในยามพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า จริงๆมันก็ไม่ได้สวยงามมากมาย แต่มันเป็นบรรยากาศที่ทำให้รู้สึกดี  ^-^


ขับมาถึงในตัวเมืองเพื่อจะมาหาของกิน มาเจอตลาดข่วง หน้าวัดภูมินทร์ เห็นแล้วได้อารมณ์ทางเหนือจริงๆนั่งกินข้าวกับโตก


เดินผ่านวัดเพื่อจะไปทางตลาด


ของกินเยอะมาก เลือกกินไม่ถูกเลย


ซูชิ ไม่ได้ซึ้อเพราะที่ไหนก็มี แต่ไม่รู้จะถ่ายมาทำไม 555


บัวลอยไข่หวานโดนใจมาก ให้ 5 กระโหลก 555


หลังจากไปซื้อของกินกลับมาแล้ว จะมาหาโตกนั่งกินบ้าง แต่ไม่มีวางซักอันครับ ก็นั่งกินบนสนามหญ้าตามระเบียบ ก็มีคนมานั่งกินบนสนามหญ้าเยอะเหมือนกัน พอดีนั่งใกล้ๆกันก็เลยชวนคนที่นั่งข้างๆคุยไปเรื่อยๆเปื่อยๆ ประมาณ สองทุ่มกว่าก็กลับที่พักนอน




เช้าของวันที่ 31 ธค 2558 อุณหภูมิ 16 องศา อากาศดีสบายๆ อันดับแรกที่ต้องทำคือถามเรื่องที่พักว่ามีห้องว่างไหม จึงไปถามพนักงานว่าพักต่อได้ไหม มีห้องว่างไหม ปรากฏว่าเต็มหมด แต่ก็ทำใจไว้แล้วกับเหตุการณ์นี้ จึงไปอาบน้ำเพื่อออกไปหาของกิน แล้วค่อยกลับมาเก็บของ

 

หลังจากแต่ตัวเสร็จในใจก็คิดว่าจะไปหาของกินที่ไหนดี คิดๆไปเรื่อย ทันใดนั้นก็เห็นฝรั่งสองคนกำลังเตรียมมอร์เตอร์ไซค์ออกไปข้างนอก เลยคิดว่าแอบขี่ตามฝรั่งไปดีกว่า ฝรั่งน่าจะมีอะไรดีๆ  #แล้วก็เป็นอย่างที่คิดฝรั่งขี่ไปหาของกินที่ตลาดสด #ตามหลังฝรั่งหมาไม่กัดจริงๆ 555


ที่นี่จเหมือนจะเป็นตลาดสด และมีตลาดเช้าที่ให้พ่อค้าแม่ค้ามาขายของข้างทาง มองดูก็ได้อรรถรสในการรับชมไปอีกแบบ


อากาศเย็นๆทำให้อยากกินโจ๊กตอนเช้า(อยากแบบไม่มีเห็นและผล 555) เจอร้านหนุ่ม ขายหลายอย่างเลยทั้ง ก๋วยจั๊บ ก๋วยเตี๋ยว ข้าวหมูกรอบ และมีโจ๊กด้วยคนในร้านเยอะมาก คิดว่าร้านนี้ต้องอร่อยแน่ พอเดินเข้าไปในร้าน เห็นโต๊ะส่วนใหญ่ยังไม่ได้อาหาร แต่ละคนต่างมองตากันปิ๊บๆ จึงคิดว่าไม่เข้าไปนั่งดีกว่า



จากนั้นก็เดินไปเรื่อยๆ หน้าทางเข้าตลาดสด มีร้านโจ๊กน่านไง ชื่อร้านเก๋ไก๋สไลเดอร์ แต่ขายหมดแล้วจ้าาา ของไม่พอ


จึงเดินหาไปเรื่อยๆ จนเจอฝั่งตรงข้ามตลาดสด โจ๊กหมู เมืองสอง จากที่ดูมีโต๊ะว่างอยู่หนึ่งที่จึงเข้าไปนั่ง


คนมาต่อคิวรอเยอะมาก ในร้านคนก็เยอะ ต้องทำใจช่วงเทศกาล ไปที่ไหนก็เจอแต่คน มันไม่ได้ชิวอย่างที่คิด แย่งกันกินแย่งกันใช้ รถก็ติด หงุดหงิดหัวใจ ระหว่างรอก็รู้สึกว่าทำไมเราต้องมาเที่ยวตอนคนเยอะๆด้วยนะ เห่อ...


ในที่สุดก็ได้โจ๊ก ไม่ช้ามากประมาณ 10 นาที



ตัวตลาดจะอยู่บริเวณโรงแรมเทวราช


กินเสร็จแล้วถึงมาดูชื่อตลาด ชื่อตลาดตั้งจิตนุสรน์


แล้วก็ไเดินมาดูของกินเพิ่ม ได้กล้วยไปกินครึ่งหวี จากนั้นก็ขับกลับไปเก็บของเพื่อหาที่พักต่อไป



ในการหาที่พักก็พยายามขับหาให้ออกมาไกลตัวเมื่อเพราะคิดว่าตอนนี้ไปหาในตัวเมืองก็เสียเวลาปล่าว ขับผ่านมาหลายที่โทรถามตามป้ายที่เจอ ก็เติมหมด ห้วยแก้วรีสอร์ทก็เต็มขนาดมาไกลมากแล้วนะ เห่อ...



สุดท้ายมาได้ที่ น่านภาดีเพลส ที่ยังไม่เต็มเป็นโรงแรมเปิดใหม่ เจ้าของอัธยาศัยดี ราคาก็ไม่แพง ห้องแอร์ 400 ถ้าห้องที่ไม่มีระเบียง 350 มั้งนะจำไม่ค่อยได้ ห่างจากตัวเมืองน่านประมาณ 30 กิโลเมตร และ ห่างจาก ดอยเสมอดาว ประมาณ 30 กิโลเมตร เจ้าของที่พักเขาบอกมาแบบนี้นะ


ด้านหน้าที่พัก


ในห้องก็ดู OK สะอาดดี มี Wifi


ห้องน้ำก็ดู OK มีน้ำอุ่น


ระเบียงด้านหลัง มองเห็นวิวทุ่งนา บรรยากาศดี แต่จะติดตรงที่หาของกินยากหน่อย จะต้องซื้อของตุนเข้ามากิน


หลังจากเก็บของเสร็จ ก็ขี่ย้อนกลับมาที่น่านต่อ เนื่องจากยังไม่ได้ดูอะไรหลายๆอย่าง แล้วก็เจอร้านป้านิ่มที่ดังในเวป เพราะดูหลายๆเวปก็บอกว่าอร่อยร้านเปิด 11.00 ไปถึงตอน 11.30 คนมารอคิวยาวล่ะ



เห็นคนขายของมีแต่ 2 คน คนแรกเดินเตรียมของ อีกคนหนึ่งตักของขาย จากที่ยืนสังเกตการณ์ของที่ขายเป็นน้ำแข็งใสกับไอติม ส่วนตัวคิดว่าความอร่อยสำหรับของพวกนี้มันก็ไม่น่าจะต่างกับที่อื่นมากก็เลยไม่ได้ไปต่อแถว



อยากลองกินบัวลอย ผมนี่ไปยืนคนแรกของแถวบัวลอยเลย แต่เขายังไม่เอามาตั้งขาย จะถามใครก็ไม่มีใครสนใจว่าอีกนานไหมจะขายบัวลอย เลยตัดสินใจไม่กินดีกว่า ผมคิดว่าขายดีขนาดนี้ควรจะต้องปรับระบบการจัดการร้านให้ดีขึ้น เช่น เพิ่มพนักงาน และ ร้านเปิด 11 โมงของทุกอย่างควรพร้อมขายในเวลาเปิดร้าน ถ้ามีร้านขนมหวานป้าแข็ง มาเปิดใกล้ๆอาจจะทำให้เสียลูกค้าได้ 5555


จากนั้นก็ข้ามถนนไปวัดศรีพันต้น โบสถ์ดูอลังการงานสร้างมาก ถ้าใครขับรถมาน่านต้องสะดุดตาวัดนี้แน่นอน


อร่ามแท้และตะลึง


จากนั้นก็เข้ามาไหว้พระภายในโบสถ์ หรือ เป็นวิหารไม่แน่ใจเหมือนกันเพราะไม่เห็นใบเสมา


เนื่องจากเอามอเตอร์ไซค์ไปจอดไว้ข้างวิหาร พอดีแอบไปเห็นเหมือนศาลาที่มีลวดลายแปลกตาแอบอยู่ด้านข้าง จึงเดินเข้าไปสำรวจดู พบว่าเป็นพระอุโบสถหลังเล็กๆ ดูเก่าแก่มากมาย ถ้าคนไม่ได้เดินเข้ามาด้านข้างคงไม่ได้เห็นแน่นอน โชคดีที่เป็นคนสอดรู้สอดเห็น 555


ใจจริงก็อยากจะเข้าไปดู แต่ไม่เจอพระหรือเจ้าหน้าที่วัดแถวนี้เลย โบสถ์ก็ล๊อกอยู่ด้วยจึงถ่ายภาพได้แค่ด้านนอก #ความรู้สึกเหมือนเรากำลังเจอของดีเข้าแล้ว 555



จากนั้นก็ไปวัดภุมินทร์ คือเพิ่งรู้ว่าเป็นจุดที่มีภาพวาดกระซิบรัก เมื่อวานเห็นว่าคนเยอะเลยไม่ได้เข้าไปวันนี้เลยต้องมาเก็บตกซะหน่อย



ด้านหน้าจะมีพญานาคดูเป็นศิลปะแบบทางเหนือ



พอเข้ามาด้านในจะพบมีพระหันหน้าเป็นสีทิศ แสงด้านในเป็นสีทอง เหลืองอร่าม สวยงามมากที่เดียว


เดินวนดูรอบๆ ก็มีจิตรกรรมฝาผนัง ไปมาหลายวัดแล้ว เพิ่งเคยเห็นภาพจิตกรรมที่สีเข้มสุดๆก็ที่นี่แหละ ดูแล้วสีฉุดฉาดดี ชอบๆ


อันนี้ไม่รู้ว่าคืออะไรเหมือนกัน


เดินวนมาถึงภาพ กระซิบรัก เป็น icon ของน่านก็ว่าได้ คนมายืนต่อแถวถ่ายรูปกันเพียบ เลยต้องพยายามถ่ายหลบเลี่ยงผู้คนสุดๆ


จริงแล้วทุกภาพในนี้ก็ดูสวยงามทั้งหมด


หลังจากเดินดูภาพกระซิบรักแล้วก็เดินกลับมาด้านนอก เพิ่งสังเกตเห็นว่ารูปปั้นสิงห์ด้านหน้ามันมีรูตูดด้วย คนปั้นนี่ใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ แต่ผมก็เก็บทุกรายละเอียดที่คนอื่นเขาไม่สนใจจริงๆ 555



           เพิ่งมาเห็นป้ายที่อธิบายว่าข่วงคืออะไร พอดีมีแม่กำลังสอนลูกอ่านภาษาอังกฤษอยู่เลยไปถ่ายมือเขาติดมาด้วย ข่วงเป็นพื้นที่สำหรับจัดพิธีต่างๆของเจ้านครน่านครับ


          จากนั้นก็เดินข้ามถนนมาฝั่งพิพิธภัณฑ์ เห็นคนมาทางบริเวณทางเดินที่มีต้นไม้แห้งๆเยอะมาก ส่วนตัวพยายามถ่ายหลายครั้งแต่ไม่เห็นจะได้ภาพสวยซักที คงต้องไปเรียนรู้อีกเยอะ


         ตอนนี้ก็เที่ยงกว่าๆแล้วจึงต้องรีบหาของกิน ตอนนี้เดินมาทางด้านหลังวัดหัวข่วง ไม่รู้จะกินอะไรก็เลยจัดโหน่งบะหมี่เกี๊ยว ก็อร่อยใช้ได้นะ


         หลังจากกินเสร็จก็เลยมานั่งร้านข้างๆ เลยถ่ายรูปป้ายร้านบะหมี่ซักหน่อย จริงๆแล้วอยากจะถ่ายรูปแม่ค้าหน้าตาดี แต่ไม่กล้าไปถ่ายใกล้ๆ 555



         เนื่องจากร่างกายขาดความหวาน จึงต้องกินของหวานกันซักหน่อย ชื่อร้าน ไอเข้ ปังจี่


         ก็ได้สั่งขนมปังปิ้งกับนมกล้วยปั่น ก็รสชาติใช้ได้


         หลังจากกินขนมเสร็จ ก็เดินย้อนกลับมาที่วัดหัวข่วง ดูเก่าแก่เหมือนกัน


         จากนั้นก็เข้ามากราบพระด้านในเพื่อศิริมงคล


         ด้านข้างโบสถ์วัดหัวข่วงดูเหมือนให้มีทำบุญอะไรซักอย่าง ต้องชักลอกของบางสิ่งขึ้นไปบนเสา เนื่องจากแดดร้อนมาจึงไม่ได้เดินไปดูตอนนี้รู้สึกว่าแบตเริ่มอ่อนล่ะ ร่างกายยังไม่ค่อยสมประกอบต้องไปที่อื่นต่อต้องเซฟแรงไว้ 



                    จากนั้นก็ไปต่อที่พระธาตุเขาน้อย โดยต้องเดินจากวัดหัวข่วงไปเอารถที่ ข่วงเมืองน่านก่อนเพราะไปจอดรถไว้แถวนั้น 
                     ก่อนจะไปก็ขอแวะเข้าห้องน้ำซักหน่อย พอดีเห็นว่ามีโรงเรียนที่อยู่แถวๆนั้นก็เลยไปแวะเข้าสักหน่อย โรงเรียนช่วงที่ไม่มีคนจะดูวังเวงจนน่ากลัว ผมก็เดินผ่านเข้าไปตามทางแคบๆคนสามารถเดินสวนกันได้สองคน ตอนที่ผมเดินเข้าไปในทางเดินมองดูรอบๆไม่เห็นมีใครใช้เส้นทางเดียวกับผมเลย ทั้งๆที่ก่อนเข้ามาคนด้านนอกเยอะแยะมาก แต่ผมก็ไม่สนใจอะไรแล้วเพราะตอนนี้ปวดขี้สุดๆ จึงรีบห้องน้ำ ปิดประตูปัง !!!! สักพักมีคนเดินมาเข้าห้องน้ำ ห้องข้างๆผม แล้วมีเสียงลอดออกมา
            ชายนิรนาม : " สวัสดี เป็นไงบ้าง สบายดีไหม "
                        ผม : นึกในใจ อืม อะไรของมันว่ะ แต่ทำใจดีสู้เสือ เอาไงเอากันว่ะ บรรยากาศเงียบสุดๆๆ  เลยตอบกลับไป "เอ่อ สวัสดีครับ สบายดีครับ" 
ชายนิรนามถามต่อ : " แล้วทำอะไรอยู่ล่ะ " 
ผม : นึกในใจ ...จะให้กูทำ อะไร ฟะ นั่งอยู่ในส้วม " เอ่อ คือ ขี้อยู่อะครับ " ตอบออกไปตรงๆๆชัก เริ่มเสียวๆๆ 
ชายนิรนามถามอีก : " แล้วจะไปไหนต่อเนี่ย " 
ผม: อืม แปลกดีวุ้ย มีคนชวนคุย หรือมันจะมาไม้ไหน " เออ ผมกะจะขึ้นไปพระธาตุเขาน้อยครับ จากนั้นคงขี่รถเที่ยวแถวๆนั้นครับ " มันนิ่งเงียบไปสักครู่ ผมเริ่มคิด หาทางหนี่ทีไล่ จะเอายังไงดีวะ เคยแต่อ่านเจอเรื่องของคนอื่น ตอนนี้เจอกับตัวเองเข้าให้แล้ว คิดๆๆๆๆ พลันก็ได้ยิน ประโยคสุดท้ายของชายนิรนาม ที่ทำให้ผมขนลุก
ชายนิรนาม : " เฮ้ยๆ กูวางหูแค่นี้ก่อนนะ รำคาญห้องข้างๆๆว่ะ ห้องข้างๆเป็นเอี้ยอะไรก็ไม่รู้ กูคุยกับมึง มันก็พูดตอบมาตลอดเลย" . . . . !...
อ่านมาจากในเนตอีกที่ฮาดีเลยอยากเล่นบ้าง อิอิ แต่ไปเข้าห้องน้ำที่โรงเรียนจริงๆนะ



         ลืมเรื่องที่เล่าไปแล้วมาสู่เรื่องการเดินทางต่อดีก่า เราจะขี่ไปตามถนนสุริยะพงศ์ ไปทางเดียวกับวัดศรีพันต้น พอเจอสีแยกวัดศรีพันต้นก็เลี้ยวซ้าย จากนั้นก็ตรงไปเรื่อยจนไปถึงสามแยกที่ตัดกับถนน 1025 ให้เลี้ยวขวา จากนั้นก็ขับตามทางไปเรื่อยๆ ให้ขับขึ้นเขาไปเลยมีที่จอดรถด้านบน แต่ก็จอดได้ไม่มากเท่าไหร่ครับ จากนั้นก็มาถึงพระธาตุเขาน้อย อยากบอกว่าแดดร้อนมา เห่อ...


         เดินถัดมาจากพระธาตุจะเป็นโบสถ์ 



         ด้านในมีพระพุทธรูปสีขาวอยู่ด้านใน ก็เข้าไปกราบขอพรตามระเบียบ


         จากนั้นก็ไปที่จุดชมวิว ที่นี่น่าจะเป็นอีกหนึ่ง icon ของจังหวัดน่านก็ว่าได้คนส่วนใหญ่จะมาถ่ายรูปกันที่จุดนี้เยอะมาก 


         จากนั้นก็เดินดูรอบๆ เห็นทางขึ้นคิดในใจว่าโชคดีมากที่ไม่คิดจะเดินขึ้นมา ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 2-3 โมงรู้สึกร่างกายไม่ไหวแล้วเริ่มจะมีอาการมึนๆหัวนิดๆ จึงรีบขับกลับที่พักแล้วก็กินยาพาราเซตามอล แล้วก็นอนพักผ่อน 



         ตื่นมาอีกทีประมาณ 6 โมงเย็นต้องรีบออกไปหาของกินเพราะถ้ามืดกลัวจะไม่รู้ไปซื้อของกินที่ไหนได้ พอดีได้คุยกับทาง รปภ ของโรงแรงว่ามีที่ไหนบ้างที่สามารถหาของกินได้ พี่เขาแนะนำให้ไปในตัวอำเภอเวียงสา ห่างจากที่พักประมาณ 2-3 กิโลเมตร สภาพในตัวเมืองดูสบายๆ มีผู้คนไม่มาก ไม่ต้องแย่งกันกินแย่งกันใช้ เหมือนชีวิตกลับมาสโลไลฟ์ 


          ก็ขับวนไปวนมาจนเจอร้านขายของข้างทางหน้าวัดบุญยืน ร้านขายของจะขายอยู่ตรงข้ามวัด ฝั่งเดียวกับสำนักงานเทศบาลตำบลเวียงสา 



          มาเจอข้าวเกรียบปากหม้อ ราดกระทิ ไม่พลาดอยู่แล้วที่จะลิ้มลอง


          จากที่ลองชิ้มดูรสชาติก็ OK แต่ความนุ่มของเนื้อแป้ง กับความอร่อยของไส้ยังสู้ของที่ศรีสัชนาลัยไม่ได้ ที่นั้นอร่อยฟินมากกว่า


         ด้วยความโลภ ก็สั่งขนมปังสังขยามากินด้วย 


         จากนั้นก็สั่งราดหน้าใส่ใข่ด้วย


         รสชาติก็ OK อร่อยใช้ได้อยู่ครับ


           ระหว่างนั้นกินราดหน้าอยู่คิดว่าน่าจะประมาณหกโมงครึ่ง อยู่ดีดีก็มีฝูงนกขนาดใหญ่บินวนอยู่ตรงสีแยกตลาด ผมนี่ตกใจมาก ทั้งถ่ายรูป ถ่ายวีดีโอ แต่คนรอบๆ นี่ ไม่มีใครตื่นเต้นเลย T-T มันบินอยู่ประมาณ 15-20 นาทีก็หายไป



          หลังจากกินข้าวเสร็จก็เดินถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อย



         สำนักงานเทศบาล เป็นอาคารไม้ เหมือนโรงเรียนประถมของผมสมัยเด็กเลย แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นอาคารปูนหมดล่ะ เห็นแล้วทำให้คิดถึงอดีต ดูสวยและคลาสสิกดีครับ ดูเหมือนว่าผมจะเป็นคนแปลกถิ่นอยู่คนเดียวแถวๆนี้ 


         จากนั้นก็ข้ามฝั่งเดินเข้าไปในวัดบุญยืน ออกมาจากด้านในช่วงพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว

         โบสถ์ที่นี่ดูเก่าแก่ด้านหลังโบสถ์มีเจดีย์ดูสวยงามครับ


          เดินมาหน้าโบสถ์ เขากำลังเตรียมงานสวดมนต์ข้ามปี ตอนนี้ก็มีผู้สูงอายุแถวๆนั้นมานั่งรอกันประมาณ 4-5 คน ดูแล้วคนไม่น่าจะเยอะมาก 


          ด้านในมีเก้าอี้ไว้รับรองคนที่จะมาสวดมนต์ แต่ผมคิดว่าคงจะไม่เข้าร่วมเพราะไม่อยากนอนดึกพรุ่งนี้ต้อง เดินทางไกล 



          ทางเจ้าหน้าทีวัดก็ได้แนะนำให้ทำบุญเสดาะเคราะห์ตามวันเกิด เขาบอกว่าทางวัดจะเอาเทียนและ วัน/เดือน/ปีเกิด ไปทำพิธีให้ 


          หลังจากทำบุญเสร็จก็ขี่รถเล่นนิดหน่อย จึงได้เห็นสาเหตุว่าทำไมนกถึงมาบินอยู่ที่สี่แยกเยอะมาก ตอนไปจอดถ่ายรูป ได้ยินเสียงขี้นกตกลงพื้นเหมือนเสียงฝนตกเลย นกเยอะมากคิดว่าน่าจะเป็นหลักหลายพันตัว



          ขี่รถไปเรื่อยจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ อยากบอกว่าเงียบมากแทบไม่มีรถผ่าน นี่แค่เวลาประมาณทุ่มกว่าๆเองนะ จากนั้นก็ขับรถกลับที่พักกินยานอน ปีนี้ก็ไม่ได้เคาท์ดาวน์เหมือนเดิม



         เช้าวันที่ 1 มค 2559 วันนี้ตื่นมาตอนเจ็ดโมงกว่า บรรยากาศตอนเช้าประมาณ 16 องศา



         ด้านหลังห้องหมอกลงจัดมาก เจ็ดโมงกว่าแล้วยังมีหมอกอยู่ ต้องรีบออกไปรับหมอกแล้ว


         จากนั้นก็ไปหาข้าวเช้ากินที่เวียงสาเหมือนเคย ผู้คนแถวนี้สงบเงียบดีมาก ไม่ค่อยพลุกพล่านเหมาะแก่การมาพักผ่อนจริงๆ


            สี่แยกที่มีนกขี้เมื่อวาน ในตอนเช้านกไปออกหากินหมดล่ะ # อาคารบ้านเรือนแถวๆนี้ดูเก่าคลาสสิกมาก 



     ตรงข้ามตลาดสดก็จะมีตึกแถวขายของ 


      ตลาดสดก็ดูแบบบ้านๆ เป็นอาคารสูงๆ


                ด้านในมีของสดผลไม้ให้เลือกซื้อหา ตอนไปถึงแม่ค้าเริ่มเก็บของกันแล้วแสดงว่าตลาดเริ่มวายล่ะ



                   เห็นว่ามีร้านโจ๊กอยู่ในตลาดมีคนต่อแถวซื้อกินเยอะมาก จึงลองไปนั่งกิน โจ๊กหมูอย่างเดียวใส่ใข่ พอตักเข้าปากคำแรกรู้สึกว่าเค็มมากกก เค็มไตสั่นเบย T-T ไม่แน่ใจว่ามันเค็มมากจริงๆไหมเลยลองไปอีกคำที่สอง โอว เค็มจริงไม่ใช้สลิงไม่ใช้สตั้น เลยคิดว่าจ่ายเงินแล้วไปหาอย่างอื่นกินดีกว่า ไปล่ะ ลาก่อย..โจ๊ก Soเค็ม



        เนื่องจากเล็งร้านซ่อมรถตั้งแต่ขามาแล้ว ว่าจะมาถ่ายน้ำมันเครื่อง ไปถามตอนแปดโมงตรง เขาบอกว่าต้องรอพนักงานมาทำงานอีกสักพักค่อยมาใหม่ เพราะเมื่อคืนน้องๆเขากินเลี้ยงปีใหม่กันดึกน่าจะมาสายๆ 


         จากนั้นก็กลับมาตอนแปดโมงครึ่ง เอาอั่งเปาไปจอดด้านในร้าน #ร้านดูดีการจัดวางของเป็นระเบียบ ดูมีการจัดการที่มีมาตรฐาน เจ้าของร้านอัธยาศัยดี พอเขารู้ว่าขี่รถมาจากกรุงเทพคนเดียวเขาก็ชวนคุย เขาบอกว่าหาแฟนซ้อนท้ายมาเที่ยวซักคนสิจะได้ไม่เหงา # จากคำพูดนี้ทำเอาพูดไม่ออก คิดในใจถ้าหาง่ายขนาดนั้นก็ดีสิครับ แต่ก็แค่บอกไปว่ามาเที่ยวแบบนี้มันลำบากไม่เหมาะกับผู้หญิงหรอกครับ



             ช่วงระหว่างรอรถถ่ายน้ำมันเครื่อง ก็ไปร้านต้มเลือดหมูข้างๆศูนย์มอเตอร์ไซค์ #สั่งต้มเลือดหมู ข้าวเปล่า ไปคนขายบอกว่ารอก่อนนะคะข้าวเปล่าหมด นั่งรอไปประมาณครึ่งชั่วโมง ก็ตัดสินใจว่าไปหาของกินเอาข้างหน้าดีกว่า # จึงไปแวะตุนของกินที่ 7-11 เพราะขากลับต้องเดินทางขึ้นเข้าอาจจะหาของกินยาก จากนั้นก็กลับที่พักเพื่อไปเก็บของ



                   ตอนนี้ตัดสินใจอยู่ว่าจะไปพักที่ไหนดี ใจก็อยากไปแวะอุตรดิตถ์ ระยะทางประมาณ 167 กิโลเมตร เพราะยังไม่เคยเที่ยวที่นี่เลย แต่มันก็จะทำให้เกิดปัญหาวันที่ขี่กลับ กทม ระยะทางมันจะไกลเกินไป

                  หรือจะไปพักที่ พิษณุโลก 316 กิโลเมตร แต่เมื่อปีที่แล้วเคยแวะเที่ยวไปแล้ว ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนที่ออกมาคือจะไม่ไปที่ที่เคยไป สำหรับข้อนี้จึงตกไป

               ทางเลือกต่อไปคือ พิจิตร ประมาณ 372 กิโลเมตร เป็นจังหวัดที่ยังไม่เคยไป แต่คิดอยู่ว่าระยะทางค่อนข้างไกล กลัวจะไม่ไหวเนื่องจากร่างกายไม่อำนวย จึงติดสินใจว่าถ้าขี่ไปถึงพิษณุโลกแล้วยังไม่มืดก็จะขับต่อไปพิจิตร และ ถ้าใกล้มืดแล้วก็จะพัก พิษณุโลก 


           ระยะทางรวมก่อนออกเดินทางประมาณ 884 กิโลเมตร เวลาประมาณเกือบ 10 โมง


          หลังจากขับมาเกือบ 1 ชม ก็แวะพักศาลาข้างทาง นั่งดื่มน้ำ พักเครื่องสักแพร๊บนึง แถวๆสถานีอนามัยห้วยเก็ด ตอนนี้ก็อยู่บนถนนเส้น 101 



          สภาพธรรมชาติสองข้างทางสวยงามเหมือนเดิม แต่ไม่มีโอกาสได้มองเหมือนตอนขามาเพราะรถเยอะ เวลาขี่ต้องระวัง แล้วที่สำคัญตรงช่วงทางโค้งมันมีหินกรวดบนถนนบริเวณไหล่ทางมาก มีอยู่จังหวะหนึ่งเกือบชนข้างทางเพราะลื่นหินกรวดพวกนี้ โชคดีประคองรถอยู่ได้ คนขับรถยนต์บางคนคงไม่เข้าใจว่าทำไม่รถมอเตอร์ไซค์ถึงไม่ไปขับไหล่ทาง คือถ้าถนนมันดี ไปตลอดเส้นทางคงไม่มีมอเตอร์ไซค์คันไหนอยากจะไปขี่เบียดกับรถยนต์หรอครับ แต่ว่าไหล่ทางมันไม่ดี ถ้าขับมาด้วยความเร็วแล้วต้องหักหลบกระทันหัน ผมว่ามันอันตรายกว่าไปขับอยู่บนเลนซ้ายซะอีก 



             เดินถ่ายรูปแถวๆศาลาพัก ระหว่างรอเครื่องเย็น วิวทิวทัศน์ดีมากตรงจุดนี้ #ระหว่างการแวะพักก็ยินเสียงเปิดเพลงดังมาจากไกลๆ เดาว่าต้องมีบ้างบ้านจัดปาร์ตี้ยาวตั้งแต่เมื่อคืน จะไปแจมเขาดีไหม อิอิ


หลังจากขี่ผ่านเส้นทางที่ขึ้นเขา ก็ใช้เวลาประมาณชั่วโมงนิดๆ จนมาถึงจุดแวะพักต่อไป แถวๆ  โรงเรียนชุมชนบ้านรองกาศ ตอนนี้ก็ยังคงเส้นทางเดิม 101 


มานั่งพักแถวศาลาพักข้างทาง ไม่อยากเอาอั่งเปาจองตากแดด เลยขับขึ้นมาบนฟุตบาท จริงๆก็ไม่ได้กลัวรถจะร้อน แต่กลัวตอนพักเสร็จแล้วไปนั่งเบาะร้อนๆนี่แหละ ตูดสุกพอดี



              จริงๆแถวๆที่ขับผ่านมาหาร้านข้าวได้ง่ายมากมีตลอดทาง แต่เพราะกลัวจะหาอะไรกินระหว่างทางไม่ได้จึงตุนเสบียงมาตั้งแต่ 7-11 ที่เวียงสา เป็นของที่กินประจำเวลาที่หาของกินอะไรไม่ได้ มีข้าวเปล่า ไข่ต้ม ไส้กรอก ส่วนกล้วยซื้อตอนที่อยู่ตลาดสดที่ น่าน


                   หลังจากกินข้าวเสร็จก็เดินทางต่อ โดยที่เราจะต้องแยกซ้ายเพื่อไปทางอุตรดิตถ์ โดยเปลี่ยนไปใช้เส้นทางถนนสาย 11 เส้นทางไม่เคยขับผ่านมาก่อน เป็นทางขึ้นเขาบางจุดเล่นเอาเสียวใส้เหมือนกัน มีถนนบางจุดชำรุด ถนนกว้าง รถขับเร็ว มีจอดพักเป็นระยะ นี้งีบหลับตามศาลาข้างทางไปบ้าง แต่ปกติจะไม่ค่อยหลับ เพราะไม่แน่ใจเรื่องความปลอดภัย จุดที่แวะพักจะเป็น ศาลาแขวงการทางอุตรดิตถ์ 1  



       ทุ่งนาท้องฟ้าดูแจ่มใส ช่วงนี่นั่งพักมี Biker ขับผ่านมีบีบแตรทักทายกันบ้าง รู้สึกว่าปีนี้จะเจอพวกที่ขี่มอเตอร์ไซค์เที่ยวคนเดียวเยอะกว่าปีที่แล้วที่ขับขึ้นเชียงใหม่ 



     ทั้งทริปสมโง่เพิ่งจะได้โผล่มาครั้งที่ 2 สมโง่ดูหน้าไปเหนื่อยๆนะ 555



จากนั้นก็ขับไปเรื่อย ๆ พักบ้างแต่ก็ไม่ค่อยได้พักบ่อยเพราะกลัวถึงปลายทางมืดซะก่อน 



ในที่สุดก็ขี่มาถึงพิจิตร มีขับหลงทางไปประมาณ 10 กิโลเมตร เพราะดันไม่ดูแผนที่ให้ดี พอเข้าใกล้ตัวเมืองพิจิตรก็หาข้อมูลที่พัก ดูจากข้อมูลแล้วในเวปแนะนำให้ไปพักที่ ล้านนา-บาหลี กํานันเต่า ราคาห้องพัก 350 บาทต่อคืนเป็นห้องแบบอพาร์มเม้น คิดว่าน่าจะมีเป็นบ้านหลังด้วย แต่ก็เลือกพักแบบอพาร์ทเม้นเพราะแค่อาศัยนอนอย่างเดียวไม่เรื่องมาก ตอนที่มาถึงรีสอร์ทเวลาประมาณ 6 โมงเย็น 



ด้านในดูเหมือนอพาร์ทเม้นที่เช่าสมัยเรียนป.ตรี 



ได้พักห้องเลขที่ 20 ไม่รู้ว่าจะถ่ายมาทำไม 555



สภาพในห้องก็ดู OK ห้องไม่มีระเบียง แต่มี แอร์ น้ำอุ่น Wifi ตู้เย็น TV



ห้องกับห้องน้ำสะอาดพอใช้ได้



หลังจากเก็บกระเป๋าเสร็จก็ออกไปที่บึงสีไฟ จริงๆ รีสอร์ทอยู่ใกล้กับบึงเลย # ก็เลยมาถ่ายรูปบริเวณด้านหน้าบึงสักหน่อย



พระอาทิตย์ตกดินไปแล้วเห็นแสงที่เหลืออยู่ที่ปลายขอบฟ้า 



ช่วงที่ไปเขาปิดซ่อมแซมศาลาที่ทอดยาวไปในบึง น้ำในบึงค่อยข้างแห้งมาก



ชาลาวัล มีไฟประดับ ชาลาวัล...ลั้น..ล่า...



ด้านหน้าทางเข้าบึงเหมือนมีงานเล็กๆ มีของขายแต่ก็ไม่มากนัก ก็เดินเข้ามาดูหน่อยว่ามีอะไรบ้างแต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร



มีของกินและเสื้อผ้า



ใกล้ๆงานเห็นมาร้านขายโรตี ชื่อโรตีอาบัง ตอนแรกว่าจะซื้อกินแต่เห็นมีต่อหลายคิวเลยขี้เกียจรอ ตอนนี้อยากกินข้าวเย็น ร่างกายต้องการข้าวเย็น ตัดสินใจขี่หาเรื่อยๆในตัวเมืองดีกว่า



ก็ขี่จากบึงสีไฟ ผ่านวงเวียนที่มีจระเข้ จากนั้นก็ตรงไป



หลังจากขับวนไปวนมา วนมาวนไป ก็ไปถึงบริเวณตลาดสดตรงถนนศรีมาลา


พอไปถึงตลาดเห็นมาคนต่อแถวซื้ออะไรซักอย่างเลยสนใจเข้าไปดู



เป็นร้านขายหมูสะเต๊ะชื่อ ร้านลุงเด็จหมูสะเต๊ะ เห็นแบบนี้ก็ไม่รีรอครับ สั่งเลย 30 ไม้ อยากรู้ว่ามันเป็นอย่างไร 


ก็ไปยืนดูเขาย่างไปขายไป มีคนมาสั่งตลอด สั่งเป็น 100 - 200 ไม้ก็มี ผมได้มาก็เอาถุงหมูสะเต๊ะแขวนหน้ามอเตอร์ไซค์ยืนกินมันหน้าร้านนี้แหละ รสชาติอร่อยใช้ได้ครับ น้ำจิ้มอร่อย เนื้อหมูนุ่มไม่แห้งแข็ง พอกินเสร็จก็หาถังขยะทิ้งถุง แม่ค้าก็ใจดี หาน้ำให้ล้างมือ เขาคงเห็นว่าเป็นคนต่างถิ่นมาเที่ยวแน่นอน ก็เลยขอบคุณเขาไป 



ก็เดินหาของกินอื่นๆไปเรื่อยๆเปื่อยๆ



 ก็ไปกินน้ำเต้าหู้ร้าน บัณฑิต ปกติเขาขายแต่ใส่ถุง แต่แม่ถ้าก็ใจดีไปหาแก้วมาใส่ให้ ก็ได้พูดคุยกันนิดหน่อยก็ทราบว่าแม่ค้าเป็นคนน่าน บังเอิญมากไปเที่ยวน่านแถมยังมาเจอคนน่านที่พิจิตร แล้วก็ถามเขาเพิ่มเติมว่าตอนเช้าจะหาของกินได้ที่ไหนบ้าง เขาก็อธิบายมาเหมือนกัน แต่ก็จำไม่ได้ กินเสร็จก็ขอตัวกลับที่พัก ไปนอน



เช้าวันที่ 2 มค 2559 ตื่นประมาณเจ็ดโมงกว่าๆด้วยอากาศประมาณ 19 องศา หลังจากอาบน้ำแต่งตัวก็คิดว่าจะออกไปหาของกิน



แต่ก่อนที่จะไปหาของกินก็คิดว่าไปวัดท่าหลวงก่อนดีกว่า เพราะยังไม่ถึงเวลาปกติที่กินข้าว # วัดดูสวยหรู ด้านหน้าติดแม่น้ำ แต่ดูน้ำแห้งไปหน่อย มีคนมาเรียกให้ปล่อยปลาทำบุญ แต่ก็บอกปฏิเสธไป ดีที่เขาไม่ตื้อในการขาย พอบอกปฏิเสธเขาก็ไม่ถามอะไรต่อ



หลังจากเดินสำรวจนิดหน่อยก็เข้าไปไหว้หลวงพ่อเพชร 
                       ข้อมูลจากเวป http://place.thai-tour.com/phichit/mueangphichit/899  เป็นวัดสำคัญคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดพิจิตร อยู่ริมฝั่งแม่น้ำน่านฝั่งตะวันตก ใกล้ศาลากลางจังหวัด วัดนี้สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. 2388 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ภายในพระอุโบสถเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อเพชร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยสมัยเชียงแสน หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีพุทธลักษณะงดงามมาก มีหน้าตักกว้าง 1.40 เมตร สูง 1.60 เมตร เป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่เมืองพิจิตร ประวัติมีอยู่ว่า พระพิจิตร ซึ่งเป็นเจ้าเมืองอยากได้พระประธานมาประดิษฐานที่จังหวัดพิจิตร

                       ในโอกาสที่ทัพกรุงศรีอยุธยาได้เดินทางผ่านเมืองพิจิตรเพื่อไปปราบขบถจอมทองเมืองเชียงใหม่ พระพิจิตรจึงได้ขอร้องแม่ทัพว่า เมื่อปราบขบถเสร็จแล้วให้หาพระมาฝาก ดังนั้น เมื่อเสร็จศึก แม่ทัพนั้นจึงได้อาราธนาพระพุทธรูป หลวงพ่อเพชรลงแพลูกบวบล่องมาทางแม่น้ำปิง โดยฝากเจ้าเมืองกำแพงเพชรไว้ ต่อมาจึงได้อาราธนาหลวงพ่อเพชรมาประดิษฐานไว้ ณ อุโบสถวัดนครชุมก่อน แล้วจึงย้ายมาประดิษฐานที่พระอุโบสถวัดท่าหลวง อำเภอเมืองพิจิตร จนถึงปัจจุบัน พระอุโบสถจะเปิดให้ประชาชนเข้านมัสการหลวงพ่อเพชรได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 06.30-18.00 น. 




หลังจากไหว้พระเสร็จก็ขี่ไปเรื่อยเปื่อย ไปทางสะพานข้ามแม่น้ำขนาดไม่ใหญ่ แค่รถมอเตอร์ไซค์สวนกันได้



เมื่อลงสะพานและขี่ตรงไปตามทางเรื่อยๆจะเจอสถานีรถไฟพิจิตร


ก็เดินดูเพลินตาดี 



หลังจากเดินเที่ยวซักพัก ก็เริ่มจะหิวข้าวก็เลยต้องหาอาหารเช้าเข้าท้องสักหน่อย ก็ขี่รถวนไปวนมา ก็เจอร้านข้าวต้ม อยู่แถวแยกถนนศรีมาลา บริเวณใกล้ๆกลุ่มแม่บ้านตำรวจพิจิตร

ที่ร้านขายโจ๊กและข้าวต้ม คนมารอคิวซื้อเยอะเลย

คนที่มานั่งกินในร้านก็เยอะเหมือนกัน เนื่องจากวันนี้ต้องรีบเดินทางกลับเพราะจะแวะไปที่อื่นอีกนิดหน่อยเลยไม่อยากเสียเวลาหาของกินมาก ก็เลยรอคิว แต่ก็ไม่นานอย่างที่คิดไว้


สั่งข้าวต้มรวมมิตรมา ราคา 50 - 60 บาทพอดีจำไม่ค่อยได้ ข้ามต้มรสชาติอร่อยใช้ได้ แต่ปลาหมึกมีกลิ่นนิดหน่อย ส่วนของอย่างอื่นโอเค



หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็กลับไปจัดการเก็บของ เพื่อเดินทางต่อ #จุดหมายต่อไปคือ วัดโพธิ์ประทับช้าง ระยะทางห่างจากที่พักประมาณ 21 กิโลเมตร โดยวิ่งเส้น 113 จากนั้นเลี้ยวขวาไปทางเส้น 1300 ส่วนวัดหาไม่ยากขี่ไปตามทางเรื่อยๆก็เจอ แค่อย่าเลี้ยวแยกผิดก็พอ 555 (เลี้ยวผิดตลอด)




แวะกราบพระทางด้านหน้า ด้านข้างองค์พระจะมีต้นตะเคียนขนาดใหญ่ บนต้นมีนกอาศัยอยู่เยอะมา รวมทั้งมีนกแก้วจำนวนมากอาศัยอยู่ด้วย เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นนกแก้วที่อยู่แบบธรรมชาติ ปกติเคยเห็นแต่คนเอาไปเลี้ยงในกรง ใต้ต้นตะเคียนมีคนขายน้ำเกร็ดหิมะเป็นถ้วยๆ ลองกินดูหนึ่งแก้ว ดูไปครั้งแรกรู้สึกหวานจนขนลุก หวานมากกกกกกก ต้องแอบเอาไปทิ้ง 555  



หน้าทางเข้าจะมีป้ายประวัติของวัดโพธิ์ประทับช้าง เป็นวัดที่สร้างในสมัยของสมเด็จพระเจ้าเสือ (สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่8) ช่วงประมาณ ปี พ.ศ.2242 - 2244  ตามประวัติแล้ว พระเจ้าเสือทรงโปรดให้สร้าง เพื่อเป็นที่ระลึกสถานที่พระองค์ประสูติ ณ สถานที่แห่งนี้ 




จากนั้นก็เดินเข้ามาด้านใน ผ่านกำแพงเข้ามา คนส่วนใหญ่ที่มาก็จะถ่ายรูปจากจุดนี้แหละ



โบสถ์ดูเสื่อมโทรมมากแต่ก็ยังแสดงถึงความสวยงามจากการผ่านกาลเวลามาหลายร้อยปี 




ด้านในมีพระพุทธรูปเป็นพระประธาน เรียกกันว่า "หลวงพ่อโต"  หน้าตักกว้าง 4 ศอก กว้าง 5 ศอก เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น  สมัยกรุงศรีอยุธยา มีอายุประมาณ 300 ปี และมีหลังคากันแดดทำให้ไม่ร้อนเวลาเข้ามากราบไหว้ขอพร ดูจากการผูกสายสินแล้วเดาว่าเขาน่าจะรับทำพิธีเสดาะเคราะห์ด้วยหรือป่าว



ถ่ายรูปจากทางหน้าโบสถ์ไปทางล้านหน้าวัด 



หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จก็เตรียมตัวออกเดินทางต่อ ระยะทางรวมประมาณ 1,263 กิโลเมตร เวลาประมาณ เกือบๆ 10 โมง



การเดินทางตั้งใจจะขับถึง กทม ระยะทางตามแผนที่ประมาณ 312 กิโลเมตร (ช่วงหลังๆนี่เดินทาง 300 กิโลเมตรตลอดเลย T-T) ที่สำคัญ Google Map บอกให้วิ่งทางชนบท มีช่วงที่เป็นถนนลูกรังดินแดง ขี่ตามรถคันหน้านี่กินฝุ่นตลอดทาง 



จากพิจิตรก็มีขับยาวไม่ได้พักเลยจนมาถึงนครสวรรค์ เพื่อจะไปหาข้าวเที่ยงกินที่นครสวรรค์ จะขับเข้าไปทางตลาดเจอร้านข้าวหลาม ร้านนี้เคยซื้อกินเมื่อปีที่แล้ว จึงจอดแวะซื้อซักหน่อย



ซื้อกระบอกละ 25 บาท 1 กระบอก รสชาติอร่อยเหมือนเดิม



หลังจากซื้อข้าวหลามแล้วก็ขี้เกียจขับเข้าไปในตลาดจึงขับย้อนออกมา เพื่อจะหาอะไรง่ายๆกินและไม่ต้องเข้าไปไกลมาก จึงตัดสินใจมากินร้าน ก.แป้งหมัก ตอนสั่งอาหารของบ้างอย่างในร้านหมดแล้ว(เพิ่งจะเที่ยงเองขายดีเกินไปอ่ะป่าวนี่)



ได้สั่งข้าวหน้าเป็ด หมูกรอบ น้ำจิ้มหมูกรอบเป็นถ้วยสุดท้าย คนมาทีหลังอดกิน รสชาติอร่อยครับ ร้านนี้ใช้ได้เลยให้ผ่าน



ร้านจะอยู่ตรงข้ามโรงแรม P.A. PLACE Hotel
หลังจากกินข้าวเสร็จนั่งเล่นรอพักเครื่องประมาณ 40 นาที ระหว่างนั้นคนขายของร้าน ป.แป้งหมักก็มาชวนคุยว่า มาคนเดียวใช่ไหม ไปไหนมาบ้าง ก็เลยเล่าให้เขาฟัง บลา บลา บลา จากนั้นก็ขอตัวเพื่อเดินทางต่อ




จากนั้นก็ขับมาเรื่อยๆจนเจอจุดพักรถที่ชัยนาท มีจุดบริการประชาชน เจ้าหน้าที่ทำงานอย่างขยันขันแข็ง



มีน้ำแข็งและกาแฟ โอวัลติน ม่าม่า ให้กินฟรีด้วยครับ



มีน้องวิทยาลัยเทคนิคชัยนาทคอยช่วยตรวจเช็คให้ตอนแรกแค่เอารถไปขอเติมลมยาง และนั่งพักดื่มน้ำเท่านั้น แต่พอดีอาจารย์ก็มาชวนคุยว่ามาจากไหนจะไปไหน พออาจารย์ทราบว่าขับจาก กทม ไป น่าน และ ขับ จากน่านกลับมาถึงนี่จึงให้น้องๆนักศึกษาช่วยเช็คน้ำมันเครื่อง



ปรากฏว่าน้ำมันเครื่องต่ำกว่าที่กำหนดครับ อาจารย์จึงให้พวกน้องๆช่วยเติมน้ำมันให้(ที่สำคัญคือฟรีทุกอย่างครับ ตรงฟรีนี่แหละ อิอิ) จากที่ยืนดูน้องเขาเติมเห็นว่าเขาต้องใช้น้ำมันมากกว่า 1 ขวดในการเติม จึงไม่แน่ใจว่าที่น้ำมันลดเพราะเครื่องร้อน หรือ ที่ศูนย์จังหวัดน่านเติมให้ไม่ถึงที่กำหนดเพราะอาจจะเติมแค่ขวดเดียว หลังจากเติมเสร็จก็ของทดสอบเดินเครื่อง ก่อนจะเดินทางต่อก็ขอบคุณอาจารย์และน้องให้การบริการอย่างดีครับ (=/\=)



หลังจากออกจากชัยนาทก็มานอนแวะศาลาข้างทางแถวๆสิงห์บุรี มีแอบหลับไปนิดนึง อากาศร้อนจริมๆ ตอนนี้น่าจะใช้ถนนเส้น 32 



ระหว่างขี่เข้าเขตอยุธยารู้สึกอยากกินโรตีสายไหมอย่างกระทันหัน ก็เลยเปลี่ยนเส้นทางจากถนนเส้น 32 ไปวิ่งถนนเส้น 347 อันทีจริงก็ไม่ได้ตั้งใจเปลี่ยนแต่เลี้ยวตามป้ายแล้วมันก็พาไปเองโดยอัตโนมัติ (ง่ายคือหลงนั้นเอง 55) พอไปถึงที่ร้าน อาบีดีน - ประนอม แสงอรุณ ก็เป็นอย่างที่เห็นว่าคนต่อแถวยาวมาก นี่เป็นเจ้าประจำผมเลย จึงต้องยอมไปต่อแถว พอยืนได้ยังไม่ถึงนาที พนักงานในร้านก็บอกว่า "สำหรับคนที่มาต่อแถวใหม่ จะไม่มีของเพราะแป้งหมดค่ะ" รู้สึกอกหักแบบไม่ทันตั้งตัว T-T ไม่มีก็ไม่กิน(เป็นคนรักเดียว ไม่เปลี่ยนใจไปหาเจ้าอื่น)


จึงตัดสินใจไปหาของกินหน้าวัดมหาธาตุ ที่นี่เป็นแหละของกินชั้นยอด ของขายเยอะ แบบเลือกกินไม่ถูกเลยที่เดียว




ก็เดินซื้ออะไรกินไปเรื่อยๆเปื่อย ทอดมัน ไก่ทอด ผลไม้



จากนั้นก็มายืนรอขนมเบื้อง แต่พอกินไปรู้สึกว่ารสชาติธรรมดา เนื่องจากเคยกินที่อร่อยกว่านี้มาแล้ว



หลังจากกินอิ่มก็รีบออกเดินทางต่อเพราะท้องฟ้ากำลังจะมืด การขับขี่ตอนกลางคืนถนนใหญ่ค่อนข้างอันตราย #ในเส้นทางที่ขี่กลับคิดว่าน่าจะวิ่งเส้น 347 แต่ก็ไม่แน่ในอาศัยขี่ตามป้ายเอา ดูป้ายไป ปทุม บางบัวทอง หรืออะไรสักอย่าง #เส้นทางที่ขับค่อนข้างมืดบางช่วงไม่มีไฟทาง ไหล่ถนนเสียมีหลุมเยอะแถวมีเศษกรวดเยอะอีกด้วย ตอนขี่ก็มีเหินหลุมกับลื่นกรวดอยู่หลายรอบ โชคดีประคองรถไว้ได้และขี่ให้ช้าลง # ขากลับนี่รถเยอะมากมีติดบางช่วง และบางทีพวกรถยนต์ก็มาวิ่งไหล่ทางด้วยความเร็ว อันตรายต่อผู้ใช้รถเล็กมาก #ความรีบร้อนของบ้างคนไม่กี่นาที อาจจะทำให้คนอื่นเสียชีวิตได้  #แต่ในที่สุดก็ฝ่ารถติดมาได้ ถึงบ้านก็เวลาประมาณเกือบสองทุ่ม ส่วนระยะทางที่ใช้ทั้งทริปนี้ก็ประมาณ 1590 กิโลเมตร

การเดินทางครั้งนี้เป็นการท่องเที่ยวที่สนุกมาก ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ ได้ไปที่ที่ยังไม่เคยไป ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนต่างพื้นที่ ทำให้รู้สึกเพลิดเพลินกับการดูวิธีชีวิตของแต่ละท้องถิ่ง ได้กินของกินที่อร่อย แต่ถึงบ้างครั้งก็มีถอดใจ ในการเดินทางเพราะเรื่องสุขภาพ แต่เราก็รู้จักที่จะพักและไปต่อ สิ่งที่ทำอาจจะไม่ได้ดูมีค่า ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ แต่มันก็จะอยู่ในความทรงจำของเราตลอดไป 





The End