วันจันทร์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2558

ขับมอเตอร์ไซค์ จากกรุงเทพ ไปเชียงใหม่ ด้วย MSX125

ออกทริปมอเตอร์ไซค์  MSX125

                          สำหรับการท่องเที่ยวในครั้งนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากรายการ Journey Thailand  #Tuk Tuk Rider ของ เรย์ แม็คโดนัล ทำให้อยากลองขี่รถไปเที่ยวคนเดียวดูบ้าง ผมเคยคิดที่จะเช่ารถตุ๊ก ตุ๊ก ไปเที่ยวแต่พอหาข้อมูลแล้วมาคำนวนดูก็กลัวเรื่องค่าใช้จ่ายจะสูง ก็เลยวางแผนที่จะใช้มอร์ไซค์ จากนั้นก็ค่อยๆเก็บเงินซื้ออุปกรณ์ต่างๆในการเดินทาง ใช้เวลาวางแผนนานเหมือนกันเนื่องจากติดเรื่องเงิน (^-^) เพราะต้องซื้อรถใหม่ รถเก่าที่ใช้อยู่เป็น Wave125 อายุ 10 ปีขึ้นครับ กลัวรถจะไปตายกลางทาง เลยต้องเก็บตังค์ซื้อรถใหม่ด้วย ก็วางแผนมาเกือบปีครับ พอได้รถมาแล้ว จากนั้นก็เลือกวันหยุดที่ยาวๆหน่อยจะได้ไม่ต้องรีบมาก เลยเลือกช่วงปีใหม่ตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค. 2557 ถึง 4 ม.ค. 2558  การไปเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้บอกใคร ไม่ได้บอก พ่อ แม่ พี่ น้อง ว่าจะไปใหนเพราะไม่อยากให้เขาเป็นกังวลและไม่อยากรับความคิดเห็นอื่นๆ เดี๋ยวฟังมากจะทำให้ไขว้เขว  แต่พยายามแชร์ใน FB ตลอดว่าไปถึงใหนบ้าง เพราะถ้าเป็นอะไรไปเขาจะได้ตามถูก ก็เตรียมใจตัวเองไว้บ้างกับเรื่องเสี่ยงถึงชีวิต แต่ก็คิดว่าถ้าเราจะตายด้วยทางเลือกที่เราอยากจะทำ ก็ดีกว่าอยู่แล้วใช้ชีวิตที่ไม่ได้ทำตามที่คิดไว้  ถ้าถามว่าผมกลัวใหม บอกตามตรงเลยว่ากลัวครับ เพราะไม่เคยขี่รถมอเตอร์ไซค์คนเดียวไกลขนาดนี้มาก่อน ผมคิดว่าถ้าเราเอาแต่กลัวอยู่ชีวิตเราก็จะไม่เจอหนทางใหม่ๆ ก็เลยคิดในใจว่า "เอาว่ะ เป็นไงเป็นกัน ครั้งหนึ่งในชีวิต ที่ก้าวเดินตามหัวใจตัวเอง แม้ไม่ว่ามันจะถูกหรือผิด จะขอทำสุดหัวใจ"
                          สำหรับ Blog ที่ผมเขียนนี้ถ้าใครได้บังเอิญมาอ่านบทความผมแล้วพบเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องหรือสะกดไม่ถูกต้อง กราบขออภัยด้วยนะครับ (=/\=)  ผมเขียนตามความเข้าใจที่ไปเจอมา และผมก็ไม่เคยเขียนบทความมาก่อนถ้ามีอะไรแนะนำก็เชิญนะครับ ขอบคุณครับ

งั้นก็มาลุยกันเลย!!!




สำหรับอุปกรณ์ที่ใช้ในการ ออกทริปมอเตอร์ไซค์ นะครับ

                         ก็มีสายรัดของจะมีขนาด 5เมตร กับ 8เมตร เส้นละไม่เกิน20บาท  มีขายตามร้านขายอุปกรณ์ก่อสร้าง ผมใช้ประมาณ 6 เส้น ไว้รัดกระเป๋าข้างไม่ให้แกว่งเวลาขี่


                     กระเป๋าข้างรถมอไซค์ สั่งจาก Web คลองถมมอลล์ประมาณ450 บาท ไว้สำหรับใส่กระเป๋าสัมภาระต่างๆ หลังจากใช้งานรู้สึกว่ามัน OK เลย

                              กระเป๋ากันน้ำใบละ1,600 สั่งจาก Web ใส่พวกเสื้อผ้าและสิ่งของ และเผื่อไว้เที่ยวหน้าฝนด้วย

                        เนื่องจากไปคนเดียวจึงต้องมีอุปกรณ์ถ่ายรูป ขากล้อง3000บาท ไม้เซลฟี่150บาท รีโมท150บาท power bank 2000บาท ผมใช้ iphone 6 ในการถ่ายรูปตลอดทริป เนื่องจากไม่อยากแบกกล้องไปให้หนัก อุปกรณ์บ้างชิ้นซื้อนานแล้วราคานี้เป็นราคาตอนที่ซื้อบางอย่างอาจจะดูแพง

                       อันนี้เป็นอุปกรณ์เพิ่มความสนุกของทริป (^-^) หัวม้าสุดจี๊ด 1500บาท สั่งจากใน Web ความคิดเห็นส่วนตัวเห็นหน้าตามันโง่มาก ผมเรียกมันว่า สมโง่ (^-^)


                          น้องอั่งเปา เพื่อนร่วมทางเพิ่งซื้อตอนปลายเดือน พย.2557 ราคา 75,000 รวมประกันรถหายกับทะเบียนประมาณ 80,000 บาท ผมใช้ขับไปทำงานด้วยไปกลับ แจ้งวัฒนะ-สีลม




                น้องอั่งเปาหลังทุกของแล้วก็มีสภาพเป็นแบบนี้
เพิ่มคำอธิบายภาพ

                        ข้อควรระวัง ถ้าใช้ MSX125 เนื่องจากท่อไอเสียสูงจะทำให้กระเป๋าโดนท่อ แนะนำให้ทดสอบติดตั้งกระเป๋าก่อนวันเดินทาง ใช้สายรัดคาดไปก่อนวางกระเป๋าข้างบนเบาะ เพื่อช่วยให้มันไม่แกว่งเข้าด้านใน หรือจะหาผ้าทนความร้อนมาพันท่อไอเสียก่อนก็ได้มันอาจจะช่วยได้ ของผมไปเจอเอาตอนออกเดินทางโชคดีที่เช็คหลังจากขับไปซักครึ่งชม. ไม่งั้นคงใหม้กระเป๋าขาดเยอะกว่านี้



                                จุดหมายแรกคือสุพรรณบุรี เริ่มออกเดินทางประมาณ 9 โมงของวันที่ 27 ธค. 2557 สำหรับเรื่องเส้นทางบอกตรงๆ ว่าผมไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ผมไปตาม Google Map อย่างเดียวครับ หลงก็ถามคนบ้าง ดังนั้นบอกไว้ก่อนเลยว่าไม่สามารถอธิบายทางได้ละเอียด หรือระบุจุดแบบแม่นยำได้ครับ (^-^) สำหรับการเดินทางไปสุพรรณบุรีผมใช้เส้น 345 จากนั้นก็เปลี่ยนไปใช้เส้น 340 เขาน่าจะเรียกเส้นบางบัวทอง-สุพรรณ หรือป่าวน้าาา (^-^)

                             จากที่ขับมาเรื่อยๆ แล้วก็มาถึงสุพรรณบุรีเลยแวะถ่ายรูปน้องอั่งเปาที่ศาลหลักเมืองหน่อยครับ บริเวณที่ผมถ่ายรูปเป็นพื้นที่ ที่ไม่ให้รถเข้านะครับเลยขอพี่ รปภ. ถ่ายรูปแค่แป๊บเดียว

                         
                       ตอนที่ถึงสุพรรณเวลาเกือบจะเที่ยงล่ะ ถ้าไปต่อก็ไม่รู้จะไปหาของกินแถวไหน เลยแวะร้านค้าในบริเวณศาลหลักเมืองซะเลยมีร้านขายของกินหลายร้านครับ มี 7-11 และมีโรงหนังขนาดเล็กด้วยนะครับ เขาตกแต่งพื้นที่สวยงามมากเหมือนมาเมืองจีน รู้สึกสมโง่จะถูกใจมาก (^-^)

                         หลังจากอิ่มท้องก็เริ่มออกเดินทางต่อประมาณเที่ยงครึ่ง ระยะทางรวมประมาณ 101โล ป่ะ..ลุยกันต่อ

                       จุดต่อไปคือชัยนาทครับ ระยะทางประมาณ88โล ใช้ความเร็วประมาณ 80-90 ครับ ยังคงเส้นทาง 340 อยู่ครับ


                                    พอมาถึงจังหวัดชัยนาทก็เริ่มค้นหาข้อมูลใน Google ว่ามีที่เที่ยวไหนบ้าง ใกล้ๆบริเวณตัวเมืองเพราะว่าไม่อยากออกนอกเส้นทางไกลมาก สรุปเลยได้มาแวะวัดมหาธาตุ เป็นวัดเก่าแก่ของจังหวัดชัยนาท มีความเก่าแก่มากอายุกว่า 700ปี
                                    สำหรับการเดินทางมาที่วัดมหาธาตุผม Copy ข้อมูลมาจากใน Web ของวัดนะครับ (อยู่ห่างจากตัวเมืองชัยนาทประมาณ ๒๐ กิโลเมตร จากอำเภอเมืองชัยนาท ใช้ทางหลวงหมายเลข ๓๔๐ ถึงทางแยกเข้าอำเภอสรรคบุรี จากที่ว่าการอำเภอสรรคบุรี บริเวณหอนาฬิกา เลี้ยวซ้ายไปประมาณ ๕๐๐ เมตร)
                                   สภาพแวดล้อมภายในวัดตอนที่มาถึงคือ เงียบมากแทบไม่เจอใครครับ ผมจึงจอดรถไว้ใต้ต้นไม้แล้วก็เดินเข้าไปทางหลังวัด ในรูปผมเดินมาถึงด้านหลังแล้วถ่ายย้อนกลับไปครับ  ทางที่ผ่านมาก็จะผ่านวิหารเล็กๆ และมีเจดีย์เก่าแก่เรียงกันอยู่ มีระฆังหินโบราณด้วยครับ

                       พอเดินไปสุดทางถ้ามองทางซ้ายมือจะเห็นเจดีย์ทรงมะเฟือง แต่ถ้าเดินไปทางขวามือจะพบวิหารเก่าแก่ที่เหลือแค่เสา ก็ดูสวยงามในรูปแบบที่เป็นอยู่ ส่วนประวัติของวิหารนี้ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ชาวบ้านเรียกพระประธานว่าหลวงพ่อใหญ่ มีอายุ 700 กว่าปีเช่นกัน

                     ขากลับก็มาแวะที่วิหารเล็กๆ ที่ผ่านตอนเข้ามาครับ มีพระพุทธอยู่ด้านในดูเก่าแก่ทีเดียว

                      ในวิหารมีประวัติของวัดและได้ระบุว่า ร.5ได้เคยเสด็จประพาสที่นี่ด้วย และมีเจ้าฟ้าอีกหลายองค์เคยเสด็จมา เป็นวัดที่มีความสำคัญของจังหวัดจริงๆ สุดยอดเลย


                           จุดเด่นที่นี่อีกอย่างน่าจะเป็นเจดีย์ ทรงมะเฟือง รายละเอียดไม่รู้มากแต่เห็นใน Web เขาบอกอย่างนั้น(^-^)  ถ้าผมมีโอกาสมาเที่ยวจังหวัดชัยนาทจะมาแวะทำบุญที่นี่อีก ในความคิดเห็นส่วนตัว คิดว่าถ้าเรามาเที่ยวโบราณสถาน เงินที่เราจ่ายทำบุญไปก็จะได้ส่วนหนึ่งของการช่วยทำนุบำรุงโบราณสถานให้อยู่คู่ประเทศไทยไปนานๆครับ

                                หลังจากเดินเที่ยวในวัดสักพักหนึ่ง ก็เดินทางต่อไปที่ วัดเขาธรรมมูล ข้อมูลจาก Web บอกว่าที่นี่มีพระพุทธรูปหลวงพ่อธรรมจักรที่มีความศักสิทธิ์มาก สมัยก่อนผู้ที่เดินทางทางเรือจะแวะกราบไว้ขอพรกับหลวงพ่อ
                               ตามประวัติบอกว่าหลวงพ่อลอยมาทางแม่น้ำทางวัดจึงได้อัญเชิญมาประดิษฐานไว้ที่วัดนี้ ส่วนตัวผมถ้ามีโอกาสได้มาไหว้อีกครั้งจะขอไปดูรูปธรรมจักรที่ฝ่ามือ ครั้งนี้ไม่ได้สังเกตเลย T-T

                               ด้านหลังหลังพ่อธรรมจักรมีอีกห้องหนึ่ง จะมีประตูทางเข้าด้านข้างมีประประธานเก่าแก่เหมือนกันอยู่ด้านใน

                   ผมไม่ทราบประวัติพระประธานครับ แต่ดูเก่าแก่แน่นอนครับ

                        ตามประวัติของวัด ร.5 เคยเสด็จมาวัดนี้ถึง3ครั้ง มีรูปภาพประกอบตามด้านล่าง โดยส่วนตัวชอบเที่ยวสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์เพราะเหมือนเราได้ดึ่มด่ำกับเรื่องราวในอดีตและทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นกับเหตุการณ์นั้นๆไปด้วย

                     
                  ในหลวงและเจ้าฟ้าอีกหลายองค์ก็เคยเสด็จเช่นกัน สุดยอดจริงๆ\O/ หาอ่านเพิ่มเติมได้ใน Web ครับมีประวัติของวัดบอกอยู่


                         หลังจาก ไหว้พระ ถ่ายรูป เดินเที่ยว นั่งพัก ก็เริ่มเดินทางต่อ จุดต่อไปคือจังหวัดนครสวรรค์ครับ ระยะทางประมาณ 55โล ใช้ความเร็ว 85 - 95 ครับ ถนนโล่งมาก


                   ตอนออกเดินทางก็เวลาประมาณ 4โมงครึ่งล่ะ ระยะทางรวมประมาณ 203โล Let's Go!!

                           ระหว่างทางผ่านปั๊มเลยแวะเข้าห้องน้ำซะหน่อย เกือบถึงนครสวรรค์ล่ะ จะได้ให้อั่งเปาพักด้วย แต่ปกติก็พักทุก1ชม. (^-^) เพราะไม่แน่ใจกลัวเครื่องยนต์มีปัญหาเลยพักตามเวลาที่คิดไว้ ตอนนี้ก็เปลี่ยนมาวิ่งถนนหลวงหมายเลข 1 แล้วครับ

                         หลังจากขับมาสักพักก็ถึงนครสวรรค์เวลาประมาณเกือบๆ 6โมงเย็น อันดับแรกต้องเริ่มจากการหาที่พักก่อน เพื่อนแนะนำว่าให้ไปหาห้องพักแถวมหาลัย ก็ขับไปวนหาสักพักก็เจอป้ายห้องพักรายวัน Smile Place 450บาท แอร์ น้ำอุ่น Wifi ค่ามัดจำคีย์การ์ด 100 บาท

                       สภาพภายในห้องก็ OK อยู่ แค่นอนอย่างเดียว สบายอยู่แล้ว

                        หลังจากได้ห้องแล้วก็ออกไปหาอะไรกินง่ายๆตามข้างทาง และขี่รถเล่นไปที่อุทยานสวรรค์และไปเรื่อยเปื่อย(^-^) จากนั้นก็กลับห้องนอนประมาณ 3 ทุ่ม เพราะพรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อ



                        เช้าวันที่ 28 ธ.ค. 2557 ตื่นตอนเช้าก็อาบน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของออกจากที่พัก จากนั้นก็ไปหาข้าวกินแถวๆตลาด พยายามขี่วนหาไปเรื่อยๆก่อนแต่ก็ไม่รู้จะกินอะไรก็เลยหาของกินด้วย App WongNai แล้วก็ตัดสินใจเลือก ร้านหลีลูกชิ้นปลา ผมสั่งเกี๊ยวน้ำลูกชิ้นปลา กับลูกชิ้นลวกอีก 1 ชาม ลูกชิ้นเหนียวดีครับ สำหรับผมรสชาติก็พอใช้ได้ครับ

                         หลังจากกินข้าวอิ่มแแล้วก็ขึ้นไปไหว้พระที่ วัดเขาคีรีวงศ์ บนนี้จะมองเห็นวิวของนครสวรรค์สวยงามดีครับ รู้สึกเขาจะมีหอชมวิวให้ขึ้นด้วยแต่ผมไม่ได้ไปครับ

                    บริเวณรอบๆครับ


                      หลังจากไหว้พระ ถ่ายรูปแล้ว ก็เริ่มเดินทางต่อไปจังหวัดพิษณุโลก ระยะทาง138โล ระยะทางไกลพอสมควรเลยครับ

                        ตอนออกเดินทางเวลาประมาณ 10 โมงครึ่ง ระยะทางรวม 298โลแล้วครับ ขับความเร็วประมาณ 80-90 ครับ ทางโอเคอยู่ แต่รถเริ่มเยอะแล้วครับ ตอนนี้ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 117 ครับ มีแวะพักกินข้าวเที่ยง และออกเดินทางอีกทีตอนบ่ายโมงครึ่งครับ


                       พอดีมีรุ่นน้องมหาลัยอยู่จังหวัดพิษณุโลก เขาเลยอาสาจะช่วยพาไปหาโรงแรมจะได้ไม่เสียเวลาเพราะช่วงนี้คนมาเที่ยวเยอะมาก เลยมานั่งรอที่ อเมซอนสักพัก ในจังหวัดรถติดและอากาศร้อนมาก เหนื่อยเพราะร้อนนี่แหละ เหอะ เหอะ T-T

                      ระหว่างนั่งกินกาแฟ รอรุ่นน้อง สมโง่ ก็ไม่พลาดที่จะเซลฟี่ตามเคย อิอิ

              หลังจากรอสักพักใหญ่ๆเนื่องจากฝ่ารถติดมาก็เริ่มการหาโรงแรมโดยการโทรไปเช็คแต่ก็เต็มหลายที่ แต่ในที่สุดก็ได้โรงแรม Jasmine ในราคา 500 บาท มีอาหารเช้าเป็นข้าวต้ม เนื่องจากออกไปเที่ยวตลอดไม่ได้อยู่ที่พักก็เลยไม่ได้ถ่ายรูปโรงแรมไว้ ส่วนรุ่นน้องพอขับรถนำมาที่โรงแรมเสร็จแล้วก็นัดเจอกันตอนเย็นอีกรอบ

ขอบคุณภาพจาก Street View
การเดินทางมา จัสมิน รีสอร์ท ถ้าเราเดินทางบนทางหลวงสาย 12 จะมุ่งหน้าไปเทศบาลนครพิษณุโลก ให้เลี้ยวขวาตรงแยกไฟแดง วัดคูหาสวรรค์ โดยเราจะเลี้ยวไปยังถนนพระร่วง สังเกตแยกจะมีไก่ตัวใหญ่ๆและมีป้อมสีขาว

จากแยกประมาณ 100-200 เมตรจะเจอโรงแรมอยู่ทางซ้ายมือครับ









       
   พอเอาของเข้าไปเก็บในห้องอาบน้ำซักหน่อยจากนั้นก็เริ่มต้นตระเวนเที่ยวต่อ อันดับแรกแวะไหว้ศาลหลักเมืองพระพิษณุโลก สองแควก่อนเบยครับ ขอเรียกตามในหนังสมเด็จพระนเรศวร 555+

                      หลังจากไหว้ศาลหลักเมืองขอพรเสร็จแล้วก็ขับรถมาฝั่งตรงข้ามศาลหลักเมืองจะเป็นวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือคนแถวนั้นเรียกวัดใหญ่มากราบพระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่สวยที่สุดในประเทศไทยก็ว่าได้ คนเยอะพอสมควร ที่นี่เขาจะไม่ให้ยืนถ่ายรูปนะครับแต่ก็มีคนพยายามจะยืนถ่ายอีก เห็นแล้วเพลีย

                         จากนั้นก็เดินมาด้านหลังของวัดเพื่อหนีความวุ่นวายของคนที่เยอะแยะตาแป๊ะไก่ ทางเดินด้านหลังจะผ่านทางขึ้นที่จะไปไหว้พระธาตุแต่ประตูถูกล๊อกไว้ ถ้าจะไหว้ก็ยืนไหว้ข้างล่างนี่แหละ พอเดินออกมาพ้นเขตวิหาร ก็จะพบพระพุทธรูปยืน เหมือนกับในของหนังสมเด็จพระนเรศวรเลย ด้านหลังค่อนข้างไม่มีคนครับ
                      ตอนนี้พระอาทิตย์กำลังตก มีคนมานั่งรอถ่ายรูป ส่วนผมต้องรีบกลับ เพราะน้องนัดไว้ว่าจะพาไปหาข้าวกินครับ

                   เนื่องจากรถติดมากรุ่นน้องกว่าจะมาถึงเลทไป 1 ชม พอมาถึงก็พาไปกินก๋วยเตี๋ยวเนื้อ พอดีจำชื่อร้านไม่ได้แต่ก็น่าจะเป็นเจ้าดังอยู่ในตัวเมืองพิษณุโลก หลังจากกินเสร็จก็มาต่อที่ร้านปังปิ้ง by คลอโรฟิลล์ต่อ ขนมปังปิ้งอร่อยดีครับ บรรยากาศสบายๆเหมาะสำหรับการมานั่งคุยกันเพราะยืนคุยมันจะเมื่อย (^-^)

                    สมโง่ เซลฟี่คู่กับขนมปังปิ้งบังเอิญเจ้าของร้านเพิ่งจะหันมาเห็น ตกใจกับหน้าสมโง่ 555  (^-^)  จากนั้นก็นั่งกินนั่งคุยกัน เรื่อยๆเปื่อยๆ พอเกือบๆ4ทุ่มก็แยกย้ายกันกลับไปนอนเพราะพรุ่งนี้ผมต้องเดินทางต่อ เหนื่อยจริงไรจริงไม่ใช้สลิงไม่ใช้สตั๊น T-T




                     เช้าวันที่ 29 ธ.ค.2557 ยังคงอยู่ที่พิษณุโลก วันนี้รีบตื่นแต่เช้าเพราะต้องไปเก็บตก ที่วัดใหญ่เพราะรุ่นน้องบอกว่ายังมีพระพุทธสำคัญอีกคือ พระศรีศาสดา และ พระพุทธชินสีห์ ตามประวัติความเป็นมาคือพระทั้งสามองค์ถูกสร้างขึ้นพร้อมกัน ผู้คนจึงกล่าวว่าเป็นพระพี่น้องกัน ทั้งสององค์จะอยู่วิหารด้านซ้ายและขวาของพระพุทธชินราช



                ด้านหน้าวิหารพระพุทธชินราชจะมีวิหารเล็กๆใกล้ต้นโพธิ์จะเป็นวิหารของพระเหลือ เป็นพระที่ถูกสร้างจากทองสัมฤทธิ์ที่เหลือจากพระพุทธรูปทั้ง3องค์ ผมมากราบเพื่อจะขอพรให้มีเงินทองเหลือกินเหลือใช้ (=/\=) สาธุ

                ในตู้ของพระเหลือมีคนใส่เงินไปเยอะเลย ผมก็ร่วมใส่ไปด้วย ขอให้รวย รวย รวย \o/

                จากนั้นเดินข้ามถนนไปวัดนางพญา เป็นวัดที่อยู่คนละฝั่งถนน มีพระอุโบสถสวยงามไม่แพ้กัน

                 เข้าไปด้านในก็พบกับพระนางพญาครับ สวยงามมากครับ สาธุ


                 จากนั้นก็ขี่มอร์ไซค์ MSX125 ไปที่สถานีรถไฟพิษณุโลก เพื่อจะไปดูรถ ตุ๊ก ตุ๊ก

                 สมโง่ ขอเซลฟี่กะป้ายสถานีเป็นที่..ระทึก เอ้ย..ที่ระลึก (^-^)

                  เจอแล้วครับรถตุ๊กๆ ไม่แน่ใจเขาเรียกว่าตุ๊กๆหน้ากบอ่ะป่าวหน้าตาแตกต่างจากตุ๊กๆใน กทม ดูเป็นเอกลักษณ์ดี สีสันสวยงาม

                   หลังจากเดินถ่ายรูปเดินซื้อขนมกินแถวตามทางรถไฟเสร็จแล้ว ก็ขี่มอร์ไซร์ไปต่อที่พระราชวังจันทน์ ไปไหว้ศาลสมเด็จพระนเรศวร อยากบอกว่าทางที่จะไป ผมขับหลงแล้วหลงอีก แยกมันเยอะจัดและถนนก็งงๆ ต้องขับไปด้วยจอดดูแผนที่ไปด้วย ก็ขับไป ขับมา โผล่อีกทีข้างวัดใหญ่เฉยเลย (^-^)


                มาถึงก็จอดมอเตอร์ไซค์ไว้ข้างนอกเพราะเขาไม่ให้ขับรถเข้าไปครับ ทางเดินเข้าไปไกลพอสมควรและแดดร้อนมากครับ แต่เขามีร่มให้ยืมครับสำหรับผมไม่ได้ใช้ครับไม่ใช่ผมไม่ร้อนนะครับเพราะความขี้เกียจล้วนๆครับ

                 ด้านในศาลครับมีคนเอาของมาแก้บนเยอะเลย มีดาบเยอะมากครับคนมาคนที่มาไหว้ก็เยอะครับ มากันแบบไม่ขาดสาย สาธุ


                  เสร็จจากไหว้ที่ศาลพระนเรศวรแล้วก็ไปเก็บกระเป๋าที่โรงแรม ตอนนี้เวลาก็เกือบๆเที่ยงแล้ว ก็เลยขี่มอร์ไซค์หาของกิน วนไปวนมาเจอร้านส้มตำข้างถนนเลยจัดซะหน่อยครับ
และจุดต่อไปของเราก็จะไปที่จังหวัดสุโขทัย ระยะทางที่จะไปประมาณ 56 โล โดยใช้เส้นทางถนนหลวงหมายเลข 12 ครับ เส้นทางดีพอสมควรครับทำความเร็วได้ 85 - 95 กม/ชม


                             ตอนนี้เวลาประมาณ บ่ายโมงกว่า ส่วนระยะทางรวมก่อนออกเดินทางไปสุโขทัยประมาณ 450 โล


                           




























                            พอไปถึงตัวเมืองสุโขทัยก็เริ่มการค้นหาที่พักใน Google ก่อนเลย โทรไปตามข้อมูลมีส่วนใหญ่เต็มครับ สุดท้ายก็ได้ที่นี่สะเดาหวานรีสอร์ท ราคา 450บาท ขับมาทางเดียวกับที่จะไปอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย พอถึงโรงเรียนสุโขทัยวิทยคมให้เลี้ยวซ้ายตรงทางแยก ให้สังเกตแยกที่มีสะพานลอยครับ  ขอบคุณรูปภาพจาก Street View.


                     จากนั้นขับตรงไปซักพักนึกจะเจอป้ายสะเดาหวานรีสอร์ท สังเกตฝั่งตรงข้ามของฝั่งถนนจะเป็นครัวสะเดาหวานรีสอร์ท คิดว่าเจ้าของเดียวกันมั้ง  ขอบคุณรูปจาก Street View.


                   ที่พักเป็นบ้านหลังเล็กๆสีสันสดใส น่าพักมากทีเดียวกับ คิดถึงเพื่อนๆเลยครับถ้ามากันกลุ่มใหญ่คงจะน่าสนุก

                         มีระเบียงให้นั่งด้วย แต่ไม่ได้มานั่งเบยเพราะกลับมาถึงห้องก็นอนเลย55

                           สภาพภายในห้อง ใช้ได้ครับ ห้องพักใหม่สะอาดเลยที่เดียวครับ


                       หลังจากเก็บข้าวของเสร็จ อาบน้ำซะหน่อยเพราะจะได้หายเหนื่อยจากการขี่รถนานๆ จากนั้นก็ขับมาที่อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ห่างจากที่พักประมาณ 10 โล สำหรับคนไทยไม่เสียค่าเข้าครับ สามารถขอแผนที่กับเจ้าหน้าประจำจุดผ่านทางได้ครับ ผมขอมาใบหนึ่งจะได้รู้ว่าจะต้องขับไปตรงไหนบ้าง พอขับตรงเขามาซักระยะหนึ่งก็จะเจอป้ายอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย


                           จากป้ายอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ผมขับย้อนกลับมาอีกด้านหนึ่ง จะเป็นวัดมหาธาตุครับ ที่มาแวะตรงนี้เพราะเห็นคนมาถ่ายรูปเยอะมากเลยแวะเข้าไปดูว่าเป็นอย่างไร แต่ตอนที่ผมมาถึงก็เย็นละพระอาทิตย์เริ่มตก คงต้องทำเวลาหน่อย


                           ก็เข้ามาเดินดู แต่จะหามุมถ่ายรูปยากมากเพราะไปทางไหนก็เจอแต่คนทุกที่


                              จากนั้นก็เดินเข้ามาถ่ายรูปพระพุทธรูปยืน บังเอิญมีเด็กเสื้อส้มมายืนในรูปเลยช่วยทำให้ภาพดูมีสีสันขึ้นมา แต่ที่จริงตอนที่ถ่ายรูปคิดในใจเมื่อไหร่น้องจะไปซักทีคร๊าบบ พี่จะถ่ายแบบไม่ติดคน (^-^)


                           เป็นสถานที่ที่สวยดีครับ ดูขลังดี แต่เสียดายจะมืดแล้วแสงไม่ค่อยมีมันเป็นปัญหาสำหรับคนที่ใช้กล้องจากมือถือนิดหน่อยครับ


                       เริ่มขี้เกียจเดินก็เลยมานั่งเล่นริมสระบัวครับ นั่งดูคนเดินผ่านไปมา เพลินดี


                     ก็ไม่รู้สินะ.... (^-^)



                          ฟ้าเริ่มมืดท้องก็เริ่มหิว เลยมาแวะตลาดหน้าวัดตะพังทอง หรือ ตะพังทองหลาง หรืออะไรซักอย่างไม่แน่ใจ เอาเป็นว่ามีของให้กินแล้วกัน คนเยอะพอสมควรมีทั้งคนไทยและคนต่างชาติเดินซื้อของ ฝังตรงข้ามตลาดมี 7-11 ด้วย



                    ไก่ย่างไก่ต้มน่ากินมาก ตอนไปถ่ายรูปแม่ค้าถามรับไก่ใหมคะ แต่ไม่ไหวมาคนเดียวซื้อไปก็กินไม่หมด


                         จากนั้นก็เดินมาซื้อลูกชิ้นทำเอง ลองซื้อกินดูรสชาติก็พอโอเค แต่น่าจะใส่สารบอแรกซ์ เพิ่มหน่อยจะได้เด่งๆ (^-^)


                              ต่อมาก็จัด โรตีใส่ใข่ ใส่กล้วย ไม่ใส่น้ำตาล 1 แผ่นราคา 25 บาท เคยไปกินที่จังหวัดขอนแก่น แผ่นละ 40 บาท คิดว่าที่นั้นคงใช้แป้งโรตีน่าจะสั่งตรงจากอินเดีย ไข่ไก่ป่าอเมซอน กล้วยจากเกาะกาลาปากอสเลยทำให้ราคาแพงกว่าที่อื่น (^-^)  จากนั้นก็เดินหาซื้อน้ำกับขนมมาเพิ่มอีกนิดหน่อยแล้วก็ไปนั่งกินที่หน้า 7-11 นั่งกินไปดูรถ ดูคนผ่านไปมาเพลินไปอีกแบบ กินเสร็จกับขับรถกลับที่พักนอนเอาแรง


                         เช้าวันที่ 30 ธค. 2557 วันนี้ต้องตื่น 6โมงเช้าเพราะตั้งใจจะไปวัดศรีชุม อากาศที่วัดตอน 7 โมง ประมาณ 19 องศา สดชื่นมากกก






































               ขับมาถึงวัดศรีชุมประมาณเกือบ 7 โมง ผมถึงเป็นคนแรกแต่ยังไม่มีคนเข้าก็ผมเลยนึกว่าเขายังไม่เปิดให้เข้าไป แต่พอคนอื่นมาถึงเขาเดินเข้าไปกันเลยคิดในใจว่า จะตรูจะรอทำไม




















                 
                           จากนั้นก็เดินเข้ามาจนถึงทางเข้าที่จะไปไหว้องค์พระครับ โชคดีมากที่คนยังน้อยอยู่ ไม่งั้นคงไม่มีโอกาสตั้งกล่องเป็นแน่แท้
                         ถ้าสังเกตให้ดีตรงประตูจะมีช่องทางเดินเล็กๆ ครับผมถามคนดูแลสถานที่เขาบอกว่าเป็นช่องทางเดินที่สามารถขึ้นไปด้านบนยอดของวิหารนี้ได้ แต่ว่าเขาล๊อคไว้ครับจะเปิดเฉพาะตอนทำความสะอาด ด้านในช่องจะมีจิตกรรมที่เพดานด้วยครับ เขาคงกลัวคนเข้าไปทำความเสียหาย น่าเสียดายถ้ามีโอกาสได้ขึ้นไปคงเป็นโชคดีและผมคงรู้สึกตื่นเต้นสุดๆไปเลย


                      นี่คือจุดที่เป็นสาเหตุที่ทำไมคนที่มาถึงต้องรีบวิ่งเข้ามา เพราะที่ด้านในแค่ถ่ายได้ทีละคน การจะหามุมสวยตอนคนเยอะๆนี่ต้องทำใจเลยครับ ถ้าจะไปแนะนำให้ไปถึงก่อน 7โมงครับ


                            พอออกจากวัดศรีชุมก็ขับเรื่อยๆเข้าด้านในอุทยาน จะมีสะพานที่เชื่อมต่อไปที่เกาะกลางน้ำสวยงามมากเลยครับ 


                          สมโง่ เลยขอโพสท่าเท่ห์ๆ ซักรูปนึง (^-^)   มันเท่ห์ตรงไหนฟ่ะสมโง่!!!


                                จากนั้นก็ขับไปตามทางเรื่อยๆ เห็นมีคนกำลังเล็งกล้องมุมนี้อยู่เลย พอเห็นแบบนั้นเลยไปเข้ามุมบ้าง สวยงามจริงๆครับมุมนี้


                       ทางเขียวๆไม่ใช่ถนนนะครับ เป็นพืชน้ำทั้งนั้นเลย ไม่อยากเรียกชื่อกลัวพิมพ์ไม่ถูก (^-^)


                               ขับผ่านโค้งจากรูปด้านบนแล้วจะพบกับวัด จุดนี้ครับ ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าอะไรเหมือนลืมจดไว้ (^-^)



                                 จากนั้นก็ไปนั่งเล่นถ่ายรูปไปเรื่อยๆเปื่อยๆ

                        สมโง่ ขอถ่ายคู่กับอั่งเปาบ้าง อั่งเปาหนีไปอยู่ซะไกลเลย (^-^)



                          ก่อนจะกลับก็เข้าไปกราบพ่อขุนรามคำแหงสักหน่อยเพื่อเป็นศิริมงคล จากนั้นก็ไปหาข้าวเช้ากินและกลับที่พักเพื่อเก็บข้าวของเตรียมเดินทางต่อ


                        หลังจากกลับถึงที่พักเก็บข้าวของเสร็จก็เตรียมตัวเดินทางต่อ จุดหมายต่อไปคือจังหวัดแพร่ ระยะทางประมาณ 173 โล เส้นทางนี้ขับเร็วไม่ค่อยได้เพราะผ่านตัวเมืองและตลาด รถค่อนข้างเยอะ ผมใช้ความเร็วประมาณ70-80 แต่พอช่วงขึ้นเขาส่วนใหญ่จะเป็นเน้นและโค้งต้องขับอย่างระวังเพราะไม่ชินทาง เส้นทางที่ใช้คือทางหลวงหมายเลข 101


                       กว่าล้อจะเริ่มหมุนก็ประมาณ 10 โมง ระยะทางรวมประมาณ 560 โล ก่อนออกเดินทางต้องหาแวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท ก่อนจะวิ่งยาวไปแพร่ พอออกจากปั๊มก็โดนตำรวจเรียกแต่ก็ไม่มีอะไร แค่ขอดูใบขับขี่แล้วถามว่าจะไปไหน เลยบอกไปว่าจะไปเชียงใหม่ครับ ตำรวจบอกว่ารถคันแค่นี้อ่ะนะ ก็เลยบอกไปว่าใช่ครับ (^-^) แต่ผมไปเรื่อยๆขับไปแวะไป  วันนี้พอแค่นี้ก่อนมีเวลาค่อยเขียนต่อ \o/


                       มาต่อกันครับ จากที่ออกเดินทางจากตัวเมืองสุโขทัย โดยใช้เส้นทาง 101 เส้นนี้สามารถไปอุทยานศรีสัชนาลัยได้ครับ แต่ไม่ได้แวะเที่ยวอุทยานศรีสัชเพราะกลัวถึงแพร่เย็น
                      สำหรับเส้นทางที่ใช้จะผ่านตัวเมืองมาตลอดครับ จนถึงด่านที่จะขึ้นเขาครับ หลังจากผ่านด่านเข้าไปก็จะเป็นป่าตลอดทางเลย ภาพด้านล่างนี้จะเป็นจุดชมวิว ก่อนผ่านด่านแนะนำให้เตรียมของกินกับเข้าห้องน้ำก่อนนะครับเพราะไม่ค่อยมีจุดแวะ


                        ถ้าไม่ใช่จุดชมวิวจะเป็นทางลักษณะนี้ครับไม่ค่อยอยากจอดเพราะรถวิ่งเร็วมาก ส่วนใหญ่จะเป็นทางขึ้นเนินลงเนิน โค้ง และรถวิ่งเร็วมากกกครับ ผมแทบไม่เจอรถมอไซค์ที่ขับเส้นนี้เลย บอกตรงๆว่าเป็นเส้นทางที่สวยงามครับอยากจอดถ่ายรูปจุดที่สวยๆมากเลย แต่จุดใหนที่มันสวยมากมันยิ่งอันตรายครับ เปรียบดังผู้หญิง ยิ่งสวยก็ยิ่งอันตราย (^-^) น้ำเน่าไปนิด ไปต่อดีกว่า


                 ประมาณเกือบบ่ายโมงแล้ว ตอนนี้หิวข้าวมาก มีแต่ป่ากับต้นไม่ บ้านคนก็ไม่ค่อยมีพอดีเจอหมวดการทางเลยแวะพัก ไปถามเจ้าหน้าที่ว่ามีร้านข้าวหรือป่าว เขาบอกให้ขับต่อไปอีกสักระยะหนึ่ง แต่ตอนนี้เริ่มหิวจนปวดหัวล่ะ พอดีเป็นโรคกรดไหลย้อน พอกินไม่ตรงเวลาจะมีอาการ

                         ในที่สุดก็ถึงร้านค้าจนได้ ร้านนี้อยู่ก่อนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ จะเป็นจุดสิ้นสุดเขตระหว่างจังหวัดสุโขทัยกับจังหวัดแพร่น่าจะแบ่งกันตรงสะพานเลย (^-^) นอกจากผมแล้วยังมีคณะเดินทางกลุ่มอื่นๆมาแวะกินเช่นกัน ที่ร้านมีอาหารตามสั่งกับก๋วยเตี๋ยว ลูกสาวเจ้าของร้านเป็นคนทำอาหารตามสั่งครับ ส่วนพ่อเขาเป็นคนทำก๋วยเตี๋ยว ระหว่างกินก็ขอเขาชาร์ตแบต Iphone ด้วยตอนนี้เหลือแค่ 40% ใช้ฟังเพลงกับถ่ายรูป หลังจากกินเสร็จก็แชท นั่งลงรูปใน FB อีกครึ่งชม. แล้วก็เดินทางต่อ



                      จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ ยังคงเส้นทาง 101 อยู่ ขับไปเรื่อยๆจนเจอ 3 แยก ถ้าแยกซ้ายจะไปถนนสาย 11 ลำปาง-เชียงใหม่ ถ้าแยกขวาจะไปถนนเส้น 101 แพร่ครับ ดังนั้นผมจึงเลี้ยวขวาไปเที่ยวแพร่ก่อนครับ ระหว่างขับไปเรื่อยๆสะดุดตาที่ข้างทางเจอพระนอนองค์ใหญ่มาก (=[]=) เลยรีบเบรคเพื่อลงไปถ่ายรูปครับ (^-^)


                       ตอนที่จอดแวะยังไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อวัดอะไร เลยเปิดดู Google Map ดูว่าตำแหน่งที่ตัวเองอยู่คือวัดอะไร เนื่องจากหาป้ายวัดไม่เจอ พอค้นหาดูก็คือ วัดพระธาตุสุโทนมงคลคีรี อยากบอกว่ายิ่งใหญ่และสวยงามมาก ตอนที่ไปน่าจะกำลังอยู่ระหว่างสร้างเพิ่มเติม ขนาดยังไม่เสร็จยังสวยขนาดนี้ ถ้าเสร็จแล้วน่าจะโอฬารตระการตามาก ผมไม่ได้เข้าไปเดินดูข้างในเนื่องจากแดดร้อนมากไม่อยากใช้พลังงานกลัวเป็นลมกลางทาง และต้องรีบไปหาที่พักด้วยเลยต้องรีบเดินทางต่อ



                    หลังจากเดินทางมาถึงตัวเมื่อแพร่ อย่างแรกคือการหาที่พัก ขับหาในตัวเมืองส่วนใหญ่จะเต็มหมดเลยครับ คิดในใจ "แย่แล้วทำไงดี" เลยตัดสินใจขับไปแถวพระธาตุช่อแฮ น่าจะพอมีที่พักแถวนั้น 
                 พอขับไปเรื่อยจนถึงแยก ถนน101ตัดกับถนน1022ทางที่จะไปพระธาตุช่อแฮ ก็เจอโรงแรมอยู่ใกล้แยกเลยครับ ติดป้ายบอกราคา 250 ต่อคืน น่าจะชื่อโรงแรมแพร่โกลเด้นฮิลล์ก็เลยเข้าไปถาม ก็ทราบราคาห้องพัดลม 250 ห้องแอร์ 380 ผมเลยเลือกห้องแอร์ ส่วนสภาพโรงแรมดูเก่าๆนิดนึง แอบรู้สึกกลัวนิดนิด พอดีไม่ได้ถ่ายรูปโรงแรมไว้ แต่ก็ตัดสินใจพักเพราะขี้เกียจหา จากนั้นก็เอากระเป๋าไปเก็บแล้วก็ไปพระธาตุช่อแฮครับ

ขอบคุณภาพจาก Street View


                 จากภาพด้านล่างจะเป็นบันไดทางขึ้นพระธาตุ จริงๆผมขึ้นลิฟด้านข้างแต่มาหรอยถ่ายรูปเหมือนเดินขึ้นมา ^-^ รูปถ่ายออกมายังไม่สวยเท่าของจริงนะครับ มองวิวจากบนนี้สวยงามจริงๆ

จากบันไดก็เป็นซุ้มประตู

                 จากนั้นก็มาถึงพระธาตุช่อแฮครับ เป็นพระธาตุประจำปีเกิดปีขาลครับ ผมไม่ได้เกิดปีขาลแต่ก็มาไหว้ เดินเวียนเทียนด้วย ในภาพจะเห็นพระจันทร์อยู่ลิบๆ อิอิ


                      หลังจากไหว้พระธาตุแล้วก็มาไหว้พระทันใจ จากที่อ่านใน Web เขาบอกว่าพระทันใจจะเป็นพระที่ต้องสร้างเสร็จภาพในหนึ่งวัน ถ้าพระที่สร้างไม่เสร็จตามเวลาที่กำหนดก็จะเป็นพระธรรมดาครับ เนื่องจากคนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่าในการสร้างพระทันใจให้เสร็จได้ภายในหนึ่งวันนั้นเพราะมีเทพหรือเทวดามาช่วยในการสร้างพระให้สำเร็จ ดังนั้นพระทันใจจึงต้องศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เลื่อมใสของคนทั่วไปมากราบไหว้ ขอพรให้ประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆแบบทันใจได้

                 เข้ามาด้านในครับ เล็กมากสามารถเข้ามาไหว้ได้ทีละ 1-2 คน

                  จากนั้นก็มากราบพระประธานในพระอุโบสถ สวยงามมากแต่แสงน้อยไปหน่อยเลยถ่ายออกมาแล้วดูสีทึมๆ

                     เวลา 6 โมงเย็นล่ะ เริ่มหิวข้าวเลยแวะตลาดสดช่อแฮ ตลาดนี้ดูคลาสสิคมากกดูเก่าแก่ทีเดียว ลักษณะเป็นเหมือนศาลาไม้ขนาดใหญ่ ภายในศาลาจะมีพื้นยกสูงประมาณหัวเข่าเป็นล็อคไว้ให้แม่ค้าวางของและนั่งขายของ แบบที่ผมนั่งอยู่ครับ
                    ตอนแรกตั้งใจว่าจะกลับมาเก็บภาพตอนเช้า จะได้เห็นแม่ค้าวางของแบบเต็มๆ แต่ดันตื่นสายเลยไม่ได้มา มีรูปแค่นี้ใบเดียว
                    ร้านขายของกินก็จะมีอยู่ 4-5 ร้าน ตรงข้ามตลาดจะเป็น 7-11 ตอนนี้คิดไม่ออกว่าจะกินอะไรก็เลยสั่งก๋วยเตี๋ยวมากินพอกินเสร็จก็เดินมากินขนมปังสังขยา พ่อค้าขายขนมปังสังขยายังเป็นวัยรุ่นอยู่เลยอัธยาศัยดี มาชวนคุยถามเรื่องผมเดินทางมาอย่างไร จะไปไหน แนะนำที่ท่องเที่ยวในจังหวัด สำหรับรถที่พ่อค้าขับเป็นรุ่น 1,000 CC และตอนนี้เขากำลังหัดเป็นนักขับแข่งรถอีกด้วย โอ้ว...นี่พอค้าขายขนมปังปิ้งนะเนี้ยสุดยอดจริงๆ (^-^)  ส่วนรถของผม 125 CC ขอเริ่มต้นจากความฝันเล็กๆก่อนแล้วกันนะ อิอิ พอกินเสร็จก็ขอตัวกลับที่พักเพื่อพักผ่อน


                     เช้าวันที่ 31 ธค 2557 ตื่นมาด้วยสภาพอากาศเย็นสบายที่ 18 องศา เมื่อคืนหลับสบายแบบไม่ฝันเลย หลังจากตื่นนอนก็รีบอาบน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของเตรียมออกเดินทางต่อ


                              หลังจากแพ็กกระเป๋ากับมอไซค์อย่างแน่นหนาพอ ก็มาเช็คระยะทางรวมตอนนี้ประมาณ 746โลล่ะ


                           เป้าหมายต่อไปคือจังหวัดลำปาง ระยะทางประมาณ 112 โล ความเร็วในการขับขี่ประมาณ  60-70 ได้เพราะช่วงขึ้นเขาหมอกลงหนามาก ถ้าเป็นช่วงถนนปกติ 85 - 95 โดยส่วนตัวชอบหมอกลงหนาๆ มันเหมือนเราอยู่ในก้อนเมฆ แต่มันก็แฝงมากันความอัตรายครับ
                          ในการเดินทางจากแพร่ผมใช้เส้นทาง 101 จนไปเจอ 3 แยกที่ตัดกับถนนเส้น 11 ให้เราเปลี่ยนเส้นทางไปเส้น 11 ลำปาง-เชียงใหม่ครับ



                      ตอนออกมาจากที่พักก็แวะเข้า 7-11 ก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อหาข้าวเช้ากินเติมพลังและซื้อข้าวกล่องติดไปด้วยครั้งนี้ไม่พลาดล่ะ ไม่ต้องไปหาร้านข้าวตามทาง


                           ขับผ่านทุ่งนาเลยแวะถ่ายรูปซักหน่อย จริงๆเจอหลายจุดที่สวยกว่านี้ครับ แต่ไม่รู้ทำไมไม่แวะ พอขับไปเรื่อยๆกลัวว่าจะไม่เจอทุ่งข้างหน้าแล้วก็เลยคิดว่า "เอาอันนี้ก็ได้ว่ะ" ก็เลยจอดถ่าย  ที่ไหนได้ข้างหน้ามีอีกเพียบเลยแต่ขี้เกียจจอดล่ะ 


                        เกือบเที่ยงล่ะ พอดีเจอจุดพักรถระหว่างทางเลยแวะพักกินข้าวซักหน่อย   พอกินเสร็จก็เดินสำรวจแถวๆนั้นดู ไม่มีใครมาแวะเลย เจอแค่หมา 1 ตัวเดินหาของกิน ก็เลยแบ่งข้าวให้มันกิน อ่อ ลืมเซลฟี่กับหมาเลย


                           เจอไร่ข้าวโพดแห้งๆ ก็ไปแวะถ่ายรูป กับ ถ่าย Video เล่นๆครับ


                          อันนี้เป็นทางลงเนิน รูปนี้จอดถ่ายลำบากหน่อยเพราะรถมันจะไหลลง เส้นทางนี้เป็นเส้นที่สวยทีเดียวครับ แต่จุดที่สวยๆจะจอดถ่ายลำบากจริงๆจะเป็นช่วงเนินช่วงโค้ง รถวิ่งเร็วมากเลยตัดสินใจขอเก็บเป็นความทรงจำดีกว่ายังไม่อยากเสี่ยง  จะให้จอดรถไว้ไกลๆแล้วเดินกลับไปก็ไม่ไหวแดดร้อนด้วยต้อง Save พลังงานร่างกายไว้


                  พอถึงตัวเมืองลำปางก็ค้นหาที่พักก่อนเลย หาหลายที่เต็มเกือบหมด จนมาเจอ อคัมญ์สิริ เหลือ 2 ห้องสุดท้าย การเดินทาง จากแยกถนนสาย 11 ตัดกับถนนพหลโยธิน ให้ตรงไปตามถนนเขลางค์นคร จากนั้นข้ามสะพานเขลางค์นคร ตรงไปเรื่อยๆ ซอยจะอยู่ซ้ายมือก่อนถึงวัดท่านางลอย ให้สังเกตปากซอยจะมีต้นโพธิ์ พอเลี้ยวเข้าไปประมาณ เกือบร้อยเมตรมั้ง (^-^) จะเจอที่พัก ถ้าไปต้องทำใจเรื่องที่จอดรถหน่อย ส่วนผมมอไซค์ไม่มีปัญหา (^-^)

            ทางเดินไปเคาน์เตอร์


              บริเวณเคาน์เตอร์ตกแต่ดูดี เก๋ไก๋สไลเดอร์ 5555


                     ผมพักชั้น 2 จำชื่อห้องไม่ได้ล่ะ สำหรับการตกแต่งภายในห้องมีการตกแต่งที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว (^-^) (พูดเหมือนมีความรู้) แต่ที่แน่ๆเขาตกแต่งดูดีมากครับ ชอบตรงที่มีหมอนข้างให้ (^-^)


                        ด้านตรงข้ามกับเตียงจะเป็นตู้เสื้อผ้า โต๊ะเครื่องแป้ง บนโต๊ะเครื่องแป้ง จะมีสมุดโน๊ต Diaryจ๊ะจ๋า ให้เขียนสื่อรักกัน เหมือนเรื่องคิดถึงวิทยา (^-^)  (ผมพูดเล่นนะ) เขาให้เขียน Comment ข้อเสนอแนะในการเข้ามาพักครับ ส่วนใหญ่คนมาพักจะเจอปัญหาในการใช้ห้อง ปัญหาหลักๆเลยคือเรื่องเครื่องทำน้ำอุ่น  ผมเขียนวิธีแก้ปัญหาในการใช้ห้องที่ผมเจอไว้และ เผื่อคนอื่นมาพักต่อแล้วอ่านจะได้ไม่เจอปัญหา บ้างข้อก็ไม่ได้ช่วยนะแค่เขียนกวนๆ (^-^)


                   สมโง่ นั่งชิลอยู่ที่ระเบียงห้องเลย (^-^)


                          หลังจากเก็บกระเป๋าก็ไปต่อที่พระธาตุลำปางหลวง ไกลจากที่พักพอสมควร ตรงซุ้มประตูทางขึ้นกำลังอยู่ระหว่างการซ่อมแซม แต่ก็เดินขึ้นได้ ก่อนทางขึ้นจะมีวินรถม้า ไม่ได้ถามราคา แต่ถ้าขึ้นไปถ่ายรูปบนรถม้ามีค่านั่งถ่ายรูป 10 บาทมั้ง มีบริการถ่ายรูปด่วนกับรถม้าให้ด้วย ไม่ได้ถามราคาเพราะไม่สนใจ ขึ้นไปไหว้พระธาตุดีกว่า


                      พอขึ้นไปถึงพระธาตุ ต้องตกใจว่าคนเยอะมากเดินเบียดกัน ผมไม่ได้เข้าไปเวียนเทียนเพราะไม่อยากเบียด แค่ยืนไหว้อยู่ไกลๆ
                      สำหรับพระธาตุลำปางหลวงจะเป็นพระธาตุประจำคนเกิดปีฉลูครับ แต่ว่าผมก็ไม่ได้เกิดปีฉลู (^-^)



                      ไม่อยากอธิบายมากกลัวผิด (^-^) ด้านในน่าจะเป็นพระเจ้าล้านทอง คนมากราบไหว้ขอพรกันเยอะเลยครับ คิดว่าส่วนใหญ่น่าจะมาขอให้รวยแน่ ผมคนนึงล่ะที่ขอ (^-^)

                   วิหารพระพุทธครับ จากในเวปบอกว่ามีอายุมากกว่า 700 ปีด้านในมีพระพุทธรูปปางมารวิชัย สามารถดูเงาพระธาตุกลับหัวในนี้ได้ครับ


                     อันนี้จะเป็นซุ้มพระบาท จะสร้างครอบพระพุทธบาตรไว้ ภายในสามารถมองเงากลับหัวของพระธาตุได้ แต่ผู้หญิงห้ามขึ้นนะครับ จากนั้นก็ขับกลับตัวเมื่อลำปางว่าจะไปหาที่เดินเที่ยวไปชิวๆ


                        อยากบอกว่าขับแล้วหลงในตัวเมืองลำปางอีกแล้ว วนไปวนมาจนไปเจอสะพานแขวน ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อสะพานอะไร ก็เลยดูใน Web ก็เลยรู้ว่าชื่อสะพาน ออเร้น หรือ สะพานสีส้ม  ส่วนตราไก่ผมขอเดาว่าน่าจะมาจากชามตราไก่ เพราะเห็นขายที่นี้เยอะ ไม่รู้ว่าข้อมูลถูกป่าวนะเพราะอ่านจาก Review คนอื่นๆ


                        หลังจากนั้นขับตรงไปทางห้าแยกหอนาฬิกา ก่อนจะถึงแยกจะพบวัดสีขาวๆ พอเข้าไปอ่านป้ายใกล้ๆ เขียนว่าวัดเชียงราย แต่ในใจแอบสงสัย ที่นี่จังหวัดลำปางนะ  (^-^)

                    วันนี้ไม่แน่ใจว่าที่นี่จะมีงานสวดมนต์ข้ามปีหรือป่าวเพราะเห็นมีคนมาเตรียมจัดพื้นที่ เนื่องจากเห็นเขากำลังทำงานกันอยู่เลยไม่กล้าเดินเข้าไปถ่ายรูปด้านในกลัวจะไปเกะกะ

                   จากนั้นก็ขับไปต่อครับ แล้วก็หลงทางเหมือนเดิมเพราะมันเป็นทาง one way ทำให้หลงไปไหนไม่รู้เลย จนพามาถึงวัดศรีชุม ชื่อเหมือนวัดที่สุโขทัยเลย แต่เป็นวัดสไตล์พม่า ดูแปลกตาไปอีกแบบ จากใน Web บอกว่าเป็นวัดพม่าวัดเดียวที่เหลืออยู่ในจังหวัดลำปางมั้ง



                จากนั้นก็ขับหลงทางไปเรื่อยๆจนกลับมาถึงห้าแยกหอนาฬิกาจนได้ พอดีวันนี้มีงานเคาท์ดาวน์เลยว่าจะเดินเที่ยวซักพัก และหาของกินในงาน บังเอิญเจอร้านก๋วยเตี๋ยวไข่ยางมะตอย เอ้ย!! ไข่ยางตะมูม เอ้ย!! ไข่ยางมะตูม เอ้ย!! ถูกแล้ว!!!  ไม่รู้ว่ามุขไม่ฮาพาเพื่อนเครียดหรือป่าว (^-^)  รสชาติใช้ได้ครับ

                             หลังจากกินเสร็จก็มาเดินเที่ยวถ่ายรูป เล่นตรงหอนาฬิกา คนมายืนถ่ายรูปเยอะมาก นั่งถ่ายก็มี แต่ยังไม่เห็นมีใครนอนถ่ายนะ (^-^)  ถ้าผมทำคงเป็นคนแรกของงานนี้


                           จากนั้นก็มาถ่ายที่หอนาฬิกา จะถ่ายแบบไม่ติดคนซะหน่อย เจ๊ 2 คนนั้นเล่นยื่นถ่ายรูป เลือกรูป ถ่ายใหม่ อยู่อย่างนั้นอ่ะ เลยถ่ายติดเจ๊เขามาด้วย ขอบคุณที่เป็นนางแบบให้นะครับเจ๊ (=/\=)


                                  ถัดจากหอนาฬิการมาก็เป็น จุดนี้มีคนถ่ายเยอะเหมือนกัน ถ่ายเรี่ยราดกันจริงๆ (^-^) พูดเล่นนะครับ


                             มาเดินงานนี้อิจฉาไอ้ตัวนี้ที่สุด ยืนเฉยๆก็มีคนมาถ่ายรูป ทั้งเด็กทั้งสาวๆมารุมกอด เห็นแล้นรมณ์เสีย (^-^) เลยกลับไปนอนดีกว่า พรุ่งนี้ต้องเดินทางต่อ

                               เช้าวันที่ 1 มค. 2558 อากาศประมาณ 17องศา เมื่อคืนนอนหลับสบายมาก นอนตั้งแต่ 4ทุ่มกว่าๆ ก็เตรียมอาบน้ำ แต่งตัว เก็บข้าวของเตรียมออกเดินทาง


                                หลังจากแพ๊คกระเป๋าเสร็จก็มาดูระยะทางรวมประมาณ 922 โลล่ะ

                           จุดมุ่งหมายต่อไปคือ เชียงใหม่ โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 11 จนถึงเชียงใหม่ครับ ทางเส้นนี้ออกจะน่ากลัวนิดหน่อยเพราะบางจุดไม่มีไหล่ทางและรถขับโครตเร็วครับ แต่ความสวยของเส้นทางรับรองได้ครับว่าสวยมาก ระยะทางประมาณ 103 โล


                            ก่อนออกจากลำปาง ขอแวะไปถ่ายรูปกับรถม้าหน่อยเดี๋ยวหาว่ามาไม่ถึง สมโง่ ไม่กล้าไปถ่ายคู่กะม้ากลัวโดนม้าถีบ ข้อหาหน้าตาผิดระเบียบ 555

                          เดินดูหลายตัวชอบตัวนี้มากสุด มันดูดีสุด ตัวอื่นๆดูผอมๆแคระๆ (ไม่แน่ใจว่าเจ้าของม้าขายขนมครกหรือป่าวเพราะมีม้าแคะ 555) เจ้าของบอกว่ามันเป็นผสมกับพันธ์ต่างประเทศ เขาถามว่าอยากเอาไปเลี้ยงบ้างใหม่ เลยบอกไปว่าไม่อะครับที่บ้านไม่มีพื้นที่ (แต่ในใจคิดว่า ลำพังตัวเองยังเอาไม่รอดเลยจะให้ ซื้อม้าไปเลี้ยง 555+)


                  อันนี้ถ่ายเพราะลุงแกหนวดยาวววว 555 เกี่ยวไหมเนี้ย!!

                          แยกอินโดจีน  พอดีจอดติดไฟแดงเลยถ่ายรูปซะหน่อย แต่สงสัยว่ามันจะมีซักกี่คนที่จะขับรถไปสิงคโปร์ 2,548 โล แล้วมันมาขับผ่านแยกนี้ ถ้าใครไปก็รบกวนฝากซื้อลอดช่องสิงคโปร์หน่อยนะครับ (^-^)

                         ระหว่างทางเลยมีแวะถ่ายรูป แล้วก็ขับยาวจนไปถึงลำพูน ไปนั่งพัก ครึ่งชม. แล้วก็ขับต่อ จนไปถึงเชียงใหม่ อันดับแรกที่ทำในครั้งนี้ไม่ใช่หาที่พักแล้วครับแต่เป็นจองตั๋วรถไฟ วางแผนไว้ว่าจะเอาอั่งเปาขึ้นรถไฟกลับคืนวันที่ 3 น่าจะถึงเช้าวันที่ 4 แล้นก็นอนพักผ่อนซะ 1 วัน



                         พอไปถึงสถานีรถไฟประมาณเกือบๆเที่ยงวัน เดินตรงเข้าไปซื้อตั๋วด้วยความมั่นใจ เจ้าหน้าที่บอกว่าตั๋วเต็มจนถึงวันที่ 6 ถ้าจะมีตั๋วก็คือวันนี้เวลา 4 โมงเย็น คิดใจใน "บร๊ะเจ้า ตรูเพิ่งมาถึงเชียงใหม่ จะต้องกลับแล้วหรือนี่ อุตส่าคาดหวังว่าจะอยู่เที่ยวเชียงใหม่สัก 2-3 วัน ฝันสลายดอกฝ้ายบาน T-T "  จากนั้นก็ออกมานั่งคิดพักนึง ก็เลยตัดสินใจว่ากลับก็ได้ว่ะ เดี๋ยวไปทำงานไม่ทัน ครั้งหน้าค่อยมาใหม่
จึงกลับไปหาเจ้าหน้าที่ขายตั๋วอีกที เจ้าหน้าที่บอกว่า " ขอเล่มรถด้วยค่ะ " ผมบอกเข้าว่า " แป๊บนะครับอยู่ในกระเป๋า" ก็เลยมาเปิดกระเป๋าค้นดู ชิหาย!!!! ไม่มีเล่มรถ ดันลืมหยิบเล่มมาทั้งที่เตรียมไว้แล้ว  สรุปคือต้องนอนค้างเชียงใหม่ 1 คืน แล้วเช้าก็ขับกลับ ขอคุณรูปจาก Street View




                                 หลังจากอกหักจากเรื่องที่กลับรถไฟไม่ได้แล้ว เราก็ต้องรีบลุกขึ้นมายืนด้วยลำแข้งของตัวเองอีกครั้ง  ในเรื่องการหาห้องพัก ผมขับหาหลายที่แต่ก็เต็มทั้งหมดจนมีพนักงานโรงแรมแห่งหนี่งแนะนำว่าไปพักหอพัก ไม่ขอเอ่ยซื่อนะครับ เป็นห้องพักธรรมดาห้องพัดลมราคา 600 บาท แพงมาก แต่ตอนนั้นคิดว่าช่างมันขอมีที่นอนแล้วกันก็เลยโยนกระเป๋าเข้าไปไว้บนเตียนแล้วก็ขึ้นไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพ

                        ทางที่ขับขึ้นดอยนึกว่าอยู่ในหนัง Fast ภาค โตเกียวดริฟ ถนนมันโค้งเยอะขับสนุกดี ขับไปซักระยะรถเริ่มติด โชคดีผมเป็นมอไซค์เลยซอกแซกไปเรื่อย เห็นบางคนจอดรถเดินขึ้นก็มี ขอบคุณภาพจาก Street View

                        รูปด้านล่างผมเดินขึ้นเองนะครับไม่ได้หรอยถ่ายรูป เหมือนตอนพระธาตุช่อแฮ (^-^)

                    ขึ้นมาจนถึงซุ้มประตูทางเข้า คนต่างชาติต้องเสียตังค่าเข้านะครับ


                    ด้านในคนเยอะมาก มีคนรับจ้างถ่ายรูปด่วนด้วย ถ้าพวกนี้ถ่ายให้เขาจะแหวกคนให้ ทำให้เราได้รูปที่ไม่มีคนติดไปด้วย สำหรับผู้หญิงที่ใส่กระโปรงสั้นต้องสวมผ้าทับด้วยนะครับ เขาน่าจะมีผ้าให้ยืมใส่

                  อันนี้พยายามถ่ายหลบผู้คนเป็นอย่างมากมาย ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นหัวแพลมๆ (^-^)


ที่นี่ก็มีหลวงพ่อทันใจเช่นกัน แล้วผมก็ไม่พลาดที่จะไหว้

อันนี้ก้ออีกมุมหนึ่งของพระธาตุครับ


                   ตอนขากลับลงมา เจอน้องเขายืนท่องอะไรซักอย่างฟังไม่ชัด ประมาณว่าพี่คนหล่อคนสวยถ่ายรูปกับหนูไหมคะ บลา บลา บลา ก็เลยถ่ายกับน้องเขาหน่อยอุตส่าห์ยืนท่องไม่หยุด
พอจะไปถ่าย
น้องเขาถาม "แล้วลูกของพี่ล่ะคะ" คิดในใจ ยังหาแฟนไม่ได้เลย T-T
ผมตอบ "พี่ยังไม่ลูกลูกจ้า"
น้องเขาถาม " แล้วแฟนพี่ล่ะคะ" คิดในใจ มาล่ะ
ผมตอบ " พี่ยังไม่มีแฟนจ้า "
น้องเขาถาม "แล้วพี่ทำไมไม่ซื้อแฟนล่ะคะ" คิดในใจ (=[]=) ซื้อแบบไหนนี่
ผมถามน้องเขากลับ "ซื้อไปทำอะไรหรือครับ"
น้องเขาตอบ "ก็ไว้ช่วย ซักผ้า ถูบ้าน ล้างจานไงคะ " คิดในใจ เห่อ....เกือบคิดไปไกลก่านั้นและ (^-^)
น้องเขาบอกอีกว่า "ขอหนูกดรีโมทถ่ายรูปเองนะคะ รู้ได้ไงว่ามีรีโมทฟ่ะ ถ้าไม่มีนี้อายเด็กเลย (^-^)

                จากนั้นก็เข้าไปหาอะไรกินที่ตัวเมืองเชียงใหม่ ไปจอดถามเด็กที่หน้าตาฉลาดๆหน่อยว่าจะไปหา ขนมจีนน้ำเงี้ยวกินได้ที่ได้ เด็กบอกว่ากาดหลวงเลยพี่ พี่ตรงไปเสร็จเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้าย บลา บลา บลา
สรุปขับไปซักพักก็ไปถามคนอื่นต่ออยู่ดี (^-^) ในที่สุดก็ถึงจนได้


หน้าตาของขนมจีนน้ำเงี้ยว


                      ผักกะเครื่องเคียง ส่วนตัวคิดว่ารสชาติเฉยๆ ตอนจะกลับดันเจอไอ้เด็กที่เราไปถามทางตอนแรกมานั่งกินร้านเดียวกัน  คิดในใจ ถ้าจะมาทำไมไม่พากรูมาด้วย!!!
                      เพื่อนที่เป็นคนเชียงใหม่บอกว่าถ้าเจ้าอร่อยต้องที่ ตลาดสันป่าข่อย มาบอกใน FB ตอนกินเสร็จแล้ว เห่อ


สตอน่ากินมาก!!!!! (^-^)

 นี่น่าจะเรียกว่าน้ำปลาหวาน หรือป่าวนะ (^-^)

น่ากินมาก!!!!!!!

ลูกชิ้นก็น่ากินครับ หลังจากเดินซื้อไรกินไปเรื่อยเปื่อย ก็ไปที่อื่นต่อ

                          ขับมาเรื่อยๆจนถึงประตูท่าแพ เหมือนมีงานอะไรซักอย่างและข้างๆเหมือนจะเป็นลานเบียร์ครับ

กำแพงด้านนอกฝั่งติดถนน

จากนั้นก็มาไหว้อนุเสาวรีย์ 3 กษัตริย์



            ขอเข้าเทรนด์กับเข้าบ้าง เลยมาถ่ายรูปที่ Nimman Snow Festival  


                             สมโง่ ไปเซลฟี่คู่กับหมีซะหน่อย หลังจากเดินถ่ายรูปซักพักประมาณ 3 ทุ่มจะต้องรับกลับไปนอนล่ะ พรุ่งนี้ต้องขับรถกลับล่ะ

                 วันที่ 2 มค 2558 บรรยากาศอยู่ที่ 16 องศา ตอน 7 โมงครึ่ง อยากจะบอกว่าเมื่อคืนเกือบหนาวตาย ห้องพักทุเรศมาก ไม่มีอะไรให้เลย มีแค่หมอนกับผ้าปูที่นอนให้ ไม่มีผ้าเช็ดตัว ผ้าห่ม อุปกรณ์อาบน้ำ ขนาดนอนไม่ได้เปิดพัดลมแต่มันหนาวมากคิดว่าน่าจะ 10 องศา ผมใส่เสื้อแขนยาว กับแจ็กเก็ตหนาสวมฮู้ต ใส่กางเกง 2 ตัว ถุงเท้าหนาๆ2คู่ เอาแจ็กเก็ตห่มช่วงขา ใส่ถุงมือยังเอาไม่อยู่ อยากจะบอกว่ามันหนาวจนนอนไม่หลับ ต่อไปนี้จะไม่ไปพักที่ ที่ไม่ใช่โรงแรมหรือรีสอร์ทอีกแล้ว แพงแถมไม่ได้เรื่องอีก ตอนจะเช็คเอ้าท์ก็ไม่เจอใครเลย ก็เลยวางกุญแจไว้ในห้องแล้วก็ขนของออกเลย


             ระยะทางรวมก่อนออกเดินทางประมาณ 1,086 โล


                  ตอนที่จะเดินทางออกจากเชียงใหม่ตั้งเป้าไว้ว่าจะขับถึงตาก  โดยใช้ทางหลวงหมายเลข 11 จนถึงจังหวัดลำปาง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นทางหลวงหมายเลข 1 จนถึงจังหวัดตาก  ระยะทาง 278 โล แต่ขับจริงขับไปถึงนครสวรรค์ น่าจะประมาณ 450 โล ถึงนครสวรรค์ประมาณ 2 ทุ่มกว่า

       

                  หลังจากออกเดินทางจากเชียงใหม่ ตอนนี้ก็ประมาณ 9 โมงเลยแวะกินข้าว พอดีซื้อข้าวเหนียวหมูปิ้งเอาไว้เลยเอาออกมานั่งกินที่ร้านกาแฟข้างทางในจังหวัดลำพูน


                  เนื่องจากไปอาศัยนั่งที่รา้นเขาเลยสั่งกาแฟร้อน 1 แก้ว


        มีร้านขายดอกไม้ด้วยเป็นเจ้าของเดียวกับร้านกาแฟ (แต่คงไม่ใช้เจ้าของเดียวกับโทนาฟ หรือว่าเย็นเตร็กซ์นะ 555+)




                  หลังจากกินข้าวอิ่มก็ออกเดินทางต่อ ตอนนี้ถึงลำปางแล้ว ตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นทางหลวงหมายเลข 1 แล้ว ถนนขับสบายมากทำความเร็วได้ดี
                    รู้สึกปวดฉี่ก็เลยแวะปั๊ม Esso บ้านศาลาดงลาน จังหวัดลำปาง บังเอิญมาเจอดารา Hollywood สมโง่ เลยขอถ่ายรูปเป็นที่ระทึก 555+


          จากนั้นก็ขับต่อไปเรื่อยๆ มีแวะพักทุกๆหนึ่งชั่วโมง ระหว่างนั่งรอเวลาก็ซื้อกาแฟมานั่งกิน ที่ปั๊ม ปตท.จังหวัดตาก จากนั้นก็ขับต่อจนไปถึงนครสวรรค์ สำหรับที่พัก ไปพักที่ Smile Place ที่เดิม เหนื่อยมาทั้งวันต้องรีบนอนเลยพรุ่งนี้ยังต้องเดินทางต่อ

                      เช้าวันที่ 3 มค 2558 ตอนประมาณ 8 โมงอากาศประมาณ 15 องศาในตัวจังหวัดนครสวรรค์ วันนี้ตื่นนอนประมาณ 7 โมงเช้า อาบน้ำ แต่งตัว และเช็คเอ้าท์ตอน 8 โมง จากนั้นก็ไปหาของกินง่ายๆที่ตลาด ซื้อข้าวหลามมา1กระบอกไว้กินกลางทาง


               ในรูป Google เดินทางจากนครสวรรค์ ไปกรุงเทพโดยใช้ถนนหลวงหมายเลข 1 ที่จะผ่าน สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา  แต่เราไม่ได้ใช้เส้นทางนั้นเพราะไม่ทันดูว่า Google มันบอกเส้นทางใหน แต่ผมตั้งใจวิ่งเส้น 340 ผ่าน อุทัยธานี ชัยนาท สุพรรณบุรีและเปลี่ยนเป็นเส้น 346 ไปทางปทุมธานี วิ่งเส้นนี้ขากลับเจอด่านตำรวจแถวๆชัยนาท แต่ก็ไม่มีอะไรแค่ตรวจใบขับขี่แล้วสอบถามว่ามาจากไหนจะไปไหน แค่นั้น



ตอนออกจากนครสวรรค์ ระยะทางรวมประมาณ 1543 กิโลเมตร



                ระหว่างทางก็มีจอดนั่งพักกินกาแฟบ้างแถวๆปั๊ม ปตท. สุพรรณบุรี



                       ในที่สุดก็กลับถึงบ้านประมาณบ่าย 3-4 โมง พอจอดรถเพื่อจะขนของ เฮ้ย...ป้ายทะเบียนหาย สงสัยรถจะแรงมากจนป้ายทะเบียนหัก หรือ ไม่มันคงยังไม่อยากกลับบ้าน 555+ พอไปทำอะไรเสร็จก็ต้องไปแจ้งความที่ สน. เพื่อเอาใบแจ้งความไปขอทะเบียนใหม่ที่ขนส่ง



                   จากนั้นก็จะเอาใบแจ้งความกับเล่มรถไปที่ขนส่ง ผมไปขนส่งแถวจัตุจักร ผมเอาไปทำวันที่ 13 มค 2558 ครับ
1.เอาเอกสารใบยื่นที่เคาน์เตอร์รับเรื่อง
2.กรอกข้อมูลใบคำขอ
3.กลับไปยื่นที่เคาน์เตอร์เดิมอีกครั้ง แล้วเจ้าหน้าที่จะตรวจความถูกต้อง บอกว่าให้ไปยื่นเอกสารที่ช่องหมายเลขใด
4. ยื่นเอกสาร รอเรียก และทำการจ่ายเงิน 105 บาท
5. จะได้ใบเสร็จรับเงิน จะสามารถใช้ใบเสร็จแทนป้ายทะเบียนได้ และสามารถมารับทะเบียนได้ภายใน 15 วัน




           สรุปสำหรับทริปนี้
ระยะการเดินทางทั้งหมด 1,816.6 กิโลเมตร
ค่าน้ำมันประมาณ 1,300 บาท
เงินที่ใช้ตลอดการเงินทาง 7,500 บาท (รวมค่าน้ำมัน)
ระยะเวลาการเดินทางทั้งหมด 8 วัน
อุบัติเหตุ 0 ครั้ง
เจอผีหรือสิ่งลี้ลับ 0 ครั้ง
ลืมของที่ต้องเตรียมไปด้วย 2 อย่าง (Plate ขากล้อง , เล่มรถ)






           การออกไปเที่ยวทริปนี้นอกจากได้ความสนุก ตื่นเต้น แล้วยังได้เป็นคนผิว 2 สีอีกด้วย 555 แขนไหม้เลย เพราะว่าด้วยแรงลมทำให้แขนเสื้อเปิดขึ้นระหว่างขี่รถ ครั้งหน้าต้องป้องกันเรื่องนี้โดยการใส่ปลอกแขน และเตรียมตัวให้ดีกว่านี้

           สำหรับทริปนี้ถือว่าเป็นประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ดีมาก เพราะได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำ ได้เห็นได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ มันอาจจะไม่ได้ดูยิ่งใหญ่หรือดูดีอะไรมากมาย แต่ก็เป็นความทรงจำและรู้สึกดีภายในจิตใจตัวเอง ที่เราเคยผ่านเป้าหมายที่เราคิดไว้ ผ่านความกลัวที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ต่างๆและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และทุกเหตุการณ์จะเป็นประสบการณ์ที่ดีในใจผมตลอดไป

จบการเดินทางของทริปนี้ The End.


9 ความคิดเห็น:

  1. สนุกมากครับ แล้วตอนนี้รถเป็นยังไงบ้างครับ 555

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณครับ รถใช้งานดีครับ ขี่อยู่เรื่อยๆครับแต่ไม่ค่อยได้ออกทริปครับ สุขภาพไม่ค่อยดีครับ

      ลบ
  2. ดี่หน้าจะวิ้งเส้นนครสวรรค์.กำแพง.ตาก.ลำปาง.ลำพูน.เชียงใหม่.ดูนะครับผมมาใกล้กว่ารึป่าวทางดีด้วยรถmsx125sfผมวิ้งทีละ3.ช.ม.ครับ.ว่างๆเดี๋ยวลองไป อุ้มผางใหมครับพิชิด1219โคง้ครับเป็นประสมการครับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณที่แนะนำครับ ผมไม่ได้ออกทริปไกลมาสักพักแล้วครับ มีปัญหาเรื่องสุขภาพนิดหน่อยครับ ถ้าสุขภาพดีขึ้นอาจจะกลับไปออกทริปทางไกลครับ

      ลบ
  3. แรงบันดาลใจเลยครับ 😊😊

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและเห็นว่าบทความมีประโยชน์นะครับ

      ลบ
  4. ผมจะไปหาแฟนครับ เห้อ..

    ตอบลบ
  5. พี่ ผมอ่านการเดินทางของพี่แล้วผมอยากออกทริปอะไรแบบนี้สักครั้ง ผมเป็นคนเชียงใหม่ แต่ตอนนี้ผมอยู่ กทม อยากหาเพื่อนออกทิปแบบนี้ จากกทมไปเชียงใหม่ ผมมีมอเตอไซร์ซูเมอร์x 1คัน พี่สนใจไปกับผมไหมคับ แอดไลน์มาคุยกัน jameszero309

    ตอบลบ