วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558

ขี่มอร์เตอร์ไซค์ MSX125 ตามรอยละครข้าบดินทร์( KhaBadin Series) สมุทรปราการ

ออกทริปมอเตอร์ไซค์ MSX125 ตามรอยละครข้าบดินทร์ที่จังหวัดสมุทรปราการ





               หลังจากที่ดูละครข้าข้าบดินทร์เห็นว่ามี Location ที่สวยดีก็เลยพยายามหาข้อมูลว่าไปถ่ายที่ไหนบางและหนึ่งใน Location คือที่จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของคุณเหม จึงวางแผนว่าจะ ออกทริปมอเตอร์ไซค์ ไปเที่ยวตามสถานที่ถ่ายทำ แต่เนื่องจากติดภาระกิจจะต้องไปเรียนวันเสาร์-อาทิตย์ จึงต้องรอช่วงปิดเทอมถึงจะได้ไป ในที่สุดก็พบฤกษ์งามยามดีเป็น วันที่ 16 สิงหาคม 2558 เป็นช่วงปิดเทอมพอดีและเป็นวันเดียวกับ Bike For Mom ก็ถือโอกาสจัดทริปซะเลย.
               จากที่ไปนั่งสังเกตจากใน Youtube และค้นหาข้อมูลใน Google พบว่ามีสถานที่ถ่ายทำ คือ พระสมุทรเจดีย์ กับ ป้อมพระจุลจอมเกล้า

        พระสมุทรเจดีย์



         ป้อมพระจุลจอมเกล้า 





            เมื่อรู้อย่างนั้นแล้วจะรออะไรล่ะ ก็ไปสิคร๊าบบบบ!! \o/



                        ในการเดินทางใช้เส้นทาง ถนนแจ้งวัฒนะ => ถนนรามอินทรา => ถนนพหลโยธิน => ถนนรัชดาภิเษก => ถนนพระรม 3 => ถนนถนนวงแหวนอุตสาหกรรม = > ข้ามสะพานภูมิพล => ถนนสุขสวัสดิ์ ที่มาตามเส้นทางนี้เพราะ Google Map นำมาเลยครับ โดยปกติเขาจะไม่ให้ขี่มอร์เตอร์ไซค์ข้ามสะพานภูมิพล คือตอนแรกก็ไม่ทราบเพราะขับตาม Google จึงไปถาม Taxi แถวนั้นเขาบอกว่า " ขึ้นได้เลยน้องใครเขาก็ขึ้นกัน " เห็นพี่ Taxi บอกอย่างนั้นก็จัดเลย ขอบอกว่าหวาดเสียวมากสะพานสูงมากเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ก็เพิ่งเคยขี่มอร์เตอร์ไซค์ขึ้นสะพานสูงแบบนี้ครั้งแรก เสี่ยวมากเลยขอบอกขานี่สั่น ผับ ผับ ผับ นึกว่าเป็นโรคพากินสัน (^-^)  เลยคิดขากลับหาเส้นทางอื่นดีก่า แต่ตอนที่ขี่ขึ้นมาก็เห็นคนอื่นๆก็ขี่มอเตอร์ไซค์ขึ้นกันแบบดูปกติมาก ไม่สั่นกันบ้างหรือไงห๊ะ !!

เส้นทางในรูปก็ไปตาม Google Map โดยเราจะมุ่งหน้าไปถนนพระราม 3 



ข้างหน้าเป็นแยกอะไรซักอย่าง 555


จากนั้นก็ขี่มาเรื่อยๆจนเจอป้ายสะพานกรุงเทพ และเราจะต้องขี่ตรงไปแล้วไปเลี้ยวขวาตรงแยกไฟแดงเพื่อเข้าถนนวงแหวนอุตสาหกรรม จากจุดนี้ก็ขอแวะชักภาพสักหน่อย



ไปจอดถาม Taxi แถวๆแท่งนาฬิกานี่แหละ พี่แกบอก "ไปเลยน้องช่วงนี้วันแม่ตำรวจไม่จับ " มันเกี่ยวอะไรกันว้าา

ตอนขึ้นบนสะพานนี่ถ่ายรูปไม่ได้เลย ขึ้นไปแล้วอยากจะลงให้เร็วที่สุด เสี่ยวฉี่จะราด พอขับลงสะพานได้นี่รู้สึกโล่งใจ เสร็จแล้วก็ขับมาตามถนนสุขสวัสดิ์ทางเดียวกับที่จะไปป้อมพระจุลจอมเกล้า แต่ว่าเราจะไปแวะที่ ป้อมแผลงไฟฟ้าก่อนเพราะมันจะถึงก่อน จากนั้นเราจะเลี้ยวซ้ายไปถนนนครเขื่อนขันธ์ ตรงแยกจะมีป้ายพระประแดงเลี้ยวซ้าย และที่แยกนั้นจะมีตึก Giffarine

หลังจากจุดนี้ไม่ได้ดูแผนที่ต่ออาศัยขี่ไปมั่วๆเอา อยากบอกว่าหลงกระจาย ฮาฮา คิดว่าน่าจะขับผ่านตลาดพระประแดง ผ่านหลุมหลบภัยผมเดาว่าช่องเล็กๆตรงทางเท้าน่าจะเป็นทางเข้าหลุมหลบภัย จินตนาการไปถึงฉากทิ้งระเบิดในหนังคู่กรรม (^-^)  มองเข้าไปข้างในช่องมีน้ำท่วมขังครับ ถ้าเป็นไปได้น่าจะดูแลให้มันดีกว่านี้หน่อยสำหรับไว้ศึกษาประวัติศาสตร์


จากหลุมหลบภับก็ขี่ตรงไปเรื่อยๆจนเจอวัดทรงธรรมวรวิหาร คิดว่าไหนๆก็ผ่านแล้วก็แวะไหว้พระซักทำบุญซักหน่อย
  


 ก็ขี่รถเข้ามาจอดหน้าวิหาร ไม่แน่ใจว่าเรียกว่าวิหารหรือโบสถ์แต่ดูแล้วไม่มีใบเสมาเลยเรียกว่าวิหารดีกว่า จากที่ดูพระพุทธรูปและเจดีย์คิดว่าน่าจะมีเป็นวัดที่มีศิลปะแบบมอญครับคล้ายๆกับวัดที่ตอนขี่มอร์เตอร์ไซค์เที่ยวจังหวัดปทุมธานี อำเภอสามโคก http://tamamphoejai.blogspot.com/2015/04/msx125.html





ด้านหน้าวิหารก็จะมีศาลามีรูปหล่ออดีตเจ้าอาวาสหลายรูปที่เดียวครับ ตอนเข้าไปไหว้เห็นมีคนนำสำรับอาหารมาถวายด้วยครับ และมีคนมาไหว้อย่างต่อเนื่องคิดว่าน่าจะเป็นที่นับถือมากของคนแถวนี้




 ในศาลาเดียวกันก็มีหลวงพ่อทันใจ คนก็นำของมาไหว้เยอะเช่นกัน หรือเพราะเป็นวันหวยออกด้วยหรือป่าวคนจึงมาไหว้เยอะเป็นพิเศษ ฮาฮา




ด้านข้างมีศาลาให้ทำบุญโลงศพด้วยนะครับ มาถึงแล้วเลยเข้าไปทำบุญซักหน่อย สาธุ (=/\=)

จากนั้นก็เข้าไปในวิหาร ที่ยังไม่เข้าไปตอนแรกเพราะได้ยินเสียงพระสวดมนต์อยู่เลยคิดว่าเขาน่าจะมีพิธีกรรมอะไรซักอย่าง แต่พอเห็นคนอื่นเข้าไปก็เลยเข้าบ้าง ที่ไหนได้ในวัดเข้าเปิดเสียงสวดมนต์เอาไว้ ดูโง่ไปพักใหญ่ (=_=")

 ด้านในวิหารก็มีพระประธานดูสวยงามครับ



หลังจากไหว้พระเสร็จแล้วก็เดินมาทางด้านหลังวิหารเพื่อถ่ายรูปเจดีย์ศิลปะแบบมอญครับ 


ส่วนข้างๆวิหารคิดว่าน่าจะเป็นโบสถ์ แต่ประตูล๊อคอยู่เลยไม่ได้เข้าไปดูครับ 
                    จากที่อ่านในวิกิพิเดีย วัดนี้สร้างในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยให้สร้างขึ้นพร้อมเมืองนครเขื่อนขันธ์ มีพระรามัญเจดีย์องค์ใหญ่ ศิลปะรามัญ พระวิหารก่ออิฐถือปูน มีช่อฟ้าใบระกาทำด้วยไม้สัก ภายในประดิษฐานพระพุทธบาทจำลอง ต่อมามีการเพิ่มเติม สร้างป้อม “ป้อมเพชรหึงษ์” ในบริเวณวัดทรงธรรม จากนั้นโปรดเกล้าให้ย้ายวัดทรงธรรมมมาอยู่ในกำแพงป้อม

หลังจากไหว้พระทำบุญ ถ่ายรูป แวะเข้าห้องน้ำ เรียบร้อยแล้วจากนั้นก็ออกเดินทางต่อ เป้าหมายคือป้อมแผลงไฟฟ้า ในการเดินทางพอออกจากประตูวัดให้เลี้ยวซ้ายไปทางถนนเพชรหึงษ์ จากนั้นจะเจอสี่แยกก็เลี้ยวขวาเข้าถนนศรีเขื่อนขันธ์

จากนั้นเราก็จะมาอยู่ตำแหน่งใต้สะพานภูมิพลพอดี จึงขอชักภาพสักหน่อยเป็นที่ระทึก เอ้ย! ระลึก (^-^)  จากจุดนี้ก็ขับไปตามทางเรื่อยๆ ถนนจะเรียบตามแม่น้ำ จากจุดนี้คือขี่ไปมั่วๆดูป้ายบอกตำแหน่งป้อมแผลงไฟฟ้าตามรายทางเอา


ในที่สุดก็มาถึงป้อมแผลงไฟฟ้า 
ประวัติจากเวปศูนย์ข้อมูลกลางวัฒนะธรรม คือ ป้อมแผลงไฟฟ้า ได้สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย(รัชกาลที่ ๒) เพื่อป้องกันข้าศึกที่จะเข้ามาทางทะเล โดยตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำเจ้าพระยา ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ดัดแปลงเป็นป้อมทหารเรือของกองโรงเรียนทหารเรือที่ ๓ และเมื่อถึงรัชสมัยรัชกาลที่ ๖ (พ.ศ.๒๔๓๖) ได้โปรดเกล้าฯ ให้บูรณะซ่อมแซมป้อมแผลงไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพดี ปัจจุบันยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่บางส่วน

เมื่อเดินตรงไปในประตูทางเข้าก็จะพบทางลาดและบันไดทางขึ้น แต่ว่าผมไม่ได้ขึ้นทางนั้นมันไม่เร้าใจ ต้องหาทางที่มันลำบากกว่า

ด้านข้างทางลาดจะมีทางเดินเข้าไป และจะมีเหมือนเป็นห้องเก็บของอยู่ในกำแพง จิตนาการว่าน่าจะเป็นห้องเก็บกระสุนปืนใหญ่ และห้องบัญชาการรบ สงสัยจะดูหนังมากไปหน่อย (^-^) 

          ดูจากสภาพเก่าแก่ทรุดโทรมมาก แต่ก็ดูคลาสิกไปอีกแบบ ที่นี่ก็เป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทยให้คนรุ่นหลังอย่างเราได้มาศึกษา รู้สึกเลือดรักชาติในการมันพุ่งพล่าน Intro เพลงบางระจันขึ้นเลย (^-^) 555


หลังจากเดินไปจนสุดก็จะพบบันไดขึ้นอีกทางหนึ่ง บันไดค่อนข้างชำรุดทรุดโทรมและมีวัชพืชขึ้นเพียบเลย เดินลำบากตกลงขึ้นทางนี้แหละ 

หลังจากที่เดินขึ้นไปก็จะพบกับปืนใหญ่กระบอกนี้ครับ คิดว่าฐานยิงน่าจะพังไปแล้วเลยต้องก่อปูนขึ้นมาแทนที่


แต่ถ้าเดินไปอีกด้านหนึ่งก็จะพบปืนใหญ่กระบอกที่มีฐานวางกระบอกปืนคิดว่าน่าจะสมบูรณ์สุดสำหรับในป้อมนี้


สมโง่ก็เลยขอเซลฟี่กับปืนใหญ่ซะหน่อย แต่สมโง่ไม่ได้เชียร์ทีมอาร์เซนอลนะคร๊าบบบ ฮาฮา

สำหรับความรู้สึกที่มาถึงที่นี่ คือ เสียดายสถานที่ประวัติศาตร์แทนคนในพื้นที่เนื่องจากกลายเป็นสถานที่วางของให้กับพ่อค้าแม่ค้าตลาดสดไปแล้ว

และเป็นที่ถ่ายของเสียของบรรดาพ่อค้าแม่ค้า พอเข้ามาถึงนี่เหม็นกลิ่นฉี่มากเลย และยังเป็นแหล่งมั่วสุมของพวกวัยรุ่น ตอนเดินขึ้นไปนี่มีกลุ่มวัยรุ่นกำลังสูบบุหรี่และกำลังเอามีดาบยาวมากออกมาโชว์กันอยู่ บริเวณศาลาก็มีคนนอนคล้ายจะเป็นคนสติไม่ดี ดูไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ ผมพยายามถ่ายรูปๆแล้วก็รีบไป ถ้าจะมาเที่ยวก็ระวังตัวนิดนึงครับ


จากนั้นก็เดินทางไปต่อที่พระสมุทรเจดีย์ โดยกลับไปใช้ถนนสุขสวัสดิ์ด้วยการขี่ตามป้ายไปเรื่อยๆลัดเลาะตามซอยไปเรื่อย แล้วก็หลงตามระเบียบครับ  


พอขับมาจนถึงพระสมุทรเจดีย์ก็จอดรถไว้หน้าสถานีตำรวจ จากนั้นเดินเข้ามาที่วิหารเพื่อเข้ามาไหว้พระขอพรก่อนเลยครับ

ประตูทางเข้าวิหารเป็นสีทอง พอดีขวางทางคนอื่นอยู่เลยรีบๆถ่าย

ด้านในจะมีพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร ได้เข้ามาไหว้สักการะขอพร จากที่อ่านประวัติพระพุทธรูปนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่3

 หลังจากไหว้พระขอพรเสร็จ ลุงที่ดูและที่วิหารแกบอกว่าให้ไปตีระฆังด้านหน้า 3 ครั้งเพื่อศิริมงคล แล้วลุงแกก็ขอตังกินข้าว 20 บาท นอกจากจะได้ทำบุญแล้วก็ยังได้ทำทานกลับคนแก่ด้วย ก็ถือว่าเป็นโอกาสอันดี

จากนั้นก็เดินไปทางด้านหลังวิหาร ก็จะเป็นพระสมุทรเจดีย์ ตามประวัติเริ่มก่อสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) ภายหลังจากที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้จัดสร้างเมืองสมุทรปราการและป้อมปราการต่างๆ แต่แล้วเสร็จในสมัยรัชกาลที่ 3  โดยพื้นที่เดิมเป็นเกาะมีน้ำล้อมรอบ  จึงได้ชื่อว่า "พระสมุทรเจดีย์กลางน้ำ" ปัจจุบันกระแสน้ำเปลี่ยนทิศทางและแผ่นดินได้ยื่นงอกออกมาจนทำให้พื้นที่เกาะหมดไป คงเหลือเพียง "พระสมุทรเจดีย์" เท่านั้น


ในละครข้าบดินทร์ฉากที่มาถ่ายทำที่นี่น่าจะเป็นตอนที่มีงานฉลองพระสมุทรเจดีย์ แล้วพ่อคุณเหมไปต่อยกับฝรั่งตามแผนที่ตัวโกงวางไว้ จึงต้องมีเรื่องถกเถียงกันแต่คู่กรณีเป็นชาวต่างชาติทำให้คุยกันไม่รู้เรื่อง ฉากนี้คุณเหมก็เลยได้ใช้สกิลทางด้านภาษาที่เรียนมาจากครูชาววิลาศเลย 

น่าจะเป็นสิงโตนำโชค อิอิ


แต่ละมุมดูสวยงามดีครับ


ศาลาทรงยุโรปถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 แทนที่วิหารน้อย 2 หลังที่มีสภาพเก่าทรุดโทรมมาก ถ้าสังเกตุในภาพจะเห็นแท่งหลักรอบๆพระสมุทรเจดีย์เพิ่งกลับมาอ่านใน Web ถึงทราบว่าเป็นหลักสำหรับไว้ผูกเรือในสมัยก่อน ถ้ารู้อย่างนี้จะไปถ่ายรูปใกล้ๆซักหน่อย



ถ้าเดินมาทางฝั้งริมแม่น้ำเจ้าพระยา จะเห็นสะพานข้ามไปอีกฝังแต่พอเดินเข้าไปดูใกล้ๆเขาปิดไม่ให้ผ่านพยายามอ่านป้ายว่าคืออะไร เหมือนเขียนไว้ว่าเกาะผีเสื้อสมุทรหรืออะไรซักอย่าง แต่พอมาอ่านดูใน Web ถึงเข้าใจว่าเป็นทางที่ข้ามไปป้อมผีเสื้อสมุทร ป้อมดังกล่าวถูกสร้างในสมัยรัชกาลที่ 2 และเป็นป้อมเดียวที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบันจากทั้งหมด 6 ป้อม เสียดายที่ไม่ได้มีโอกาสเข้าไปดู 


หลังจากเดินถ่ายรูปมาซักพักก็เดินทางต่อไปยังป้อมพระจุลจอมเกล้า โดยขี่ย้อนกลับออกมาทางถนนสุขสวัสดิ์ จากนั้นพอเจอแยกหอนาฬิกาก็เลี้ยวซ้ายไม่แน่ใจว่าถนนอะไรแต่จะไปทางหมู่บ้านแหลมฟ้าผ่า  เป็นถนนที่เลียบไปตามแม่น้ำ มีไปแวะล้างรถมอร์เตอร์ไซค์ที่คาร์แคร์ในหมู่บ้านแหลมฟ้าผ่า  และถือโอกาสชารต์แบตกล้องด้วย

แต่ก่อนจะถึงทางเข้าป้อมพระจุลฯ จะพบสะพานข้ามคลอง โดยบนสะพานจะมีคนมาจอดรถตกปลากันเพียบครับ แต่ก็ไม่ได้แวะดูว่าตกแล้วได้อะไรบ้าง และพอดีผมสังเกตเห็นมีทางปูนที่เลียบเข้าไปตามลำคลองเลยลองขี่รถเข้าไปดูซักหน่อย


พอขับเข้าไปก็จะพบสะพานไม้บ้าง บ้านคนที่อยู่ตามริมคลองบ้างดูเป็นธรรมชาติดีครับ แต่แดดร้อนมากเลยขอบอก 


ปากทางก่อนเข้ามาจะเขียนว่าเป็นทางเข้าวัดทองรำไพ แต่ผมไม่ได้ไปถึงวัดครับ เพราะร้อนมากเลยอยากให้ไปถึงจุดหมายก่อนกลัวจะเป็นลมเป็นแล้งไปซะก่อน


ทางที่ขี่รถเข้ามาครับบางจุดก็ไม่มีขอบกั้น รู้สึกเสียวนิดๆ ถ้าล่วงไปคงได้ไปเห็นปลาตีนระยะประชิดเป็นแม่นมั่น !! (^-^)

 

หลังจากออกมาจากสะพานเลียบคลองใช้เวลาชั่วเคี้ยวหมากแหลก(ไม่เคยเคี้ยวเหมือนกัน 555) ก็จะถึงทางเข้าป้อมพระจุลจอมเกล้า ในการเข้าเยี่ยมชมจะต้องแลกบัตรประชาชนกับบัตรผ่านก่อนเข้าครับ และผู้ที่นำรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปจะต้องสวมหมวกกันน็อคทุกคนครับ 


ตามทางก็จะมีป้ายบอก และไม่ควรขับรถเร็วมากเพราะจะมีคนมาวิ่งออกกำลังกายและมีลิงแสมอยู่แถวข้างทางครับ


หลังจากขับเข้ามาซักระยะก็จะเห็นอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 5 มาแต่ไกล พอจอดรถเสร็จก็มุ่งหน้าไปที่บริเวณตัวป้อมก่อนเลย

จากที่เดินมาทางด้านหลังอนุสาวรีย์ก็จะพบป้ายหินจารึก


ด้านข้างจะพบป้ายรายละเอียดป้อมปืนเสือหมอบ



ด้านหลังป้ายหินจะเป็นทางเดินเข้าป้อมพระจุลฯ

หลังจากที่เข้ามาด้านในก็จะพบทางเดินกลางซึ่งจะต่อกับห้องต่างๆและทางเดินไปยังปืนเสือหมอบ


เดินตรงเข้ามาเรื่อยๆจะเป็นทางเข้าห้องอะไรซักอย่าง จินตนาการว่าอาจจะเคยห้องพักทหาร แต่ในละครข้าบดินทร์จะใช้ห้องนี้เป็นฉากตอนที่ครอบครัวคุณเหมถูกจับขังคุก


สมโง่ขอถ่ายรูปซักหน่อยเป็นไร


หลังจากนั้นถ้าเราเดินเข้ามาด้านในจะพบทางเดินเชื่อมระหว่างปืนใหญ่แต่ระกระบอก และมีห้องเก็บกระสุนปืนอยู่ใกล้ๆด้วย


เดินถัดเข้ามาจากห้องเก็บกระสุนปืนเราก็จะพบกับปืนเสือหมอบ



 คุณลักษณะของปืนเสือหมอบ (ปืนใหญ่ ARMSTRONG)
- เป็นปืนใหญ่ขนาด 152/32 มม. สร้างโดยบริษัท เซอร์ ดับบลิวจี อาร์มสตอง
(SIR W.G. ARMSTRONG) ประเทศอังกฤษ
- พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างป้อมพระจุลฯ เมื่อ พ.ศ. 2436 โดยพระราชทานเงินพระคลังข้างที่ ซึ่งเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ ในการสร้างป้อมและจัดเป็นเสือหมอบ
- น้ำหนักปืน 5 ตัน
- รังเพลิงกว้าง 200 มม.
- ลำกล้องยาว 32 เท่า ของส่วนกว้างปากลำกล้อง (4.864 เมตร)
- ความยาวจากท้ายปืนถึงปากลำกล้อง 5.20 ม.
- เกลียวลำกล้องบิดขวาทวีจำนวน 28 เกลียว
- ระยะยิงไกลสุด 8,046 ม.
- เป็นปืนใหญ่แบบบรรจุกระสุนท้าย กระสุนเป็นชนิดแยกบรรจุหัวกระสุน ดินส่ง และดินเริ่มแก๊ป
- พลประจำปืนต่อหลุม 10 นาย (พลประจำปืน 7 นาย และ พลกระสุน 3 นาย)
- เมื่อยกปืนสูงสุดลำกล้องยกได้มุมสูงสุด 15 องศา ยกต่ำสุดได้ –3 องศา
- การยกปืนเมื่อทำการยิงใช้อากาศ-น้ำมัน เมื่อยิงไปแล้วปืนจะหมอบลง
ขอมูลจากเวป www.thaifolk.com


หลังจากที่ถ่ายรูปเล่นซักพักก็ออกไปจุดอื่นต่อ


สมโง่ขอเล่นบทเป็นคุณแหม น้องพี่เหมซักหน่อย หน้าไม่ได้แต่ใจรัก (^-^) ฮาฮา


หลังจากที่ออกจากป้อมแล้วก็มาเดินดูห้องนิทรรศการป้อมพระจุลจอมเกล้า โดยปกติห้องนี้จะไม่ได้เปิดให้เข้าชม นอกจากจะมีการทำเรื่องขอเขาชมเป็นหมู่คณะเท่านั้น เนื่องจากไปในช่วงที่เขามีกิจกกรรมพอดีเลยได้มีโอกาสเข้าไปชม


ทางเราจะอยู่ด้านหลังอนุสาวรีย์ นะครับ


เข้าไปด้านในจะมีภาพและประวัติต่างๆ


เข้าไปด้านในสุดจะมีจุดฉายวิดีทัศน์ประวัติป้อมพระจุลฯและเหตุการ ร.ศ.112 ให้ชม แต่พอดีไปไม่ตรงกับรอบที่ฉายเลยไม่ได้ดู


รอบๆห้องก็จะมีรูปภาพต่างๆที่น่าสนใจที่เดียว


มีแบบจำรองปืนเสือหมอบด้วย


จากที่เดินชมนิทรรศการเสร็จก็มุ่งไปที่ พิพิธภัณฑ์ ร.ล.แม่กลอง 


เรือจอดอยู่บนฝั่งนะครับ เดินขึ้นสบาย


บนเรือรบนั้นมีห่วงยาง บนความรักผมนั้นมีห่วงใย (^-^) ฮาฮาฮา น้ำเน่าไปนิด ไปต่อดีกว่า


จะมีบันไดทางขึ้นไปดูปืนใหญ่ครับ แคบไปนิดนึงใครใส่กระโปร่งสั้นคงลำบากหน่อยครับ มาเที่ยวแบบนี้ควรแต่งการรัดกุมครับ


ถ่ายแบบไม่เห็นหน้าจะดูดีมาก ฮาฮา


ในส่วนของห้องอาหารครับ โต๊ะมันเงามากก


ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงปืนใหญ่ ส่งฮอล์คูลไป (^-^) ฮาฮา


หลังจากที่เดินเที่ยวถ่ายรูปซักพักก็เตรียมกลับบ้านครับ ขากลับนี่ไม่ขึ้นสะพานภูมิพลแน่นอน ขึ้นแล้วฉี่จะราดไม่ไหว เส้นทางที่ใช้กลับก็จะเป็น ถนนสุขสวัสดิ์ => ถนนรัชดาพิเษก => ถนนจรัญสนิทวงศ์ => ถนนวงศ์สว่าง => ถนนประชาชื่น => ถนนแจ้งวัฒนะ 


สำหรับ Trip ก็สนุกดีครับ ร้อนมาก แต่ก็ได้ไปในที่ที่ไม่เคยไป ได้รู้ประวัติศาตร์ของชาติ รู้สึกถึงความรักและความห่วงแหนประเทศของพระมหากษัตริย์ไทยที่สืบทอดกันมา ทำให้รู้สึกรักประเทศชาติมากขึ้น ไม่อยากจะดราม่านะครับแต่ก็อยากให้คนไทยรู้สึกรักประเทศ บ้านเกิดตัวเอง รักในความเป็นไทย ชวนกันมาท่องเที่ยวประเทศไทยและสถานที่ประวัติศาสตร์กันนะครับ ^-^

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น